ข่าวสาร Satoshi Nakamoto (SATOSHI)

คลายสงสัยใน Bitcoin Halving: ทุกสิ่งที่คุณต้องรู้

เคยสงสัยไหมว่าทำไมราคา Bitcoin ถึงดูเหมือนจะพุ่งสูงอย่างรวดเร็วทุก 4 ปี หรือบางทีคุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “Bitcoin Halving” มาบ้าง แต่ยังไม่เข้าใจความสำคัญมากนัก คุณไม่ได้เป็นอยู่คนเดียว การทำความเข้าใจว่า “Bitcoin Halving คืออะไร” จะช่วยไขความลับเบื้องหลังการเติบโตแบบเป็นช่วงๆ ของ Bitcoin และช่วยให้คุณก้าวขึ้นมาเป็นนักลงทุนคริปโตที่มีข้อมูลยิ่งขึ้น ในคู่มือฉบับสมบูรณ์นี้ เราจะมาเจาะลึกถึง Bitcoin Halving โดยละเอียด ครอบคลุมถึงกลไกการทำงาน เหตุใดจึงสำคัญ และคุณจะใช้ประโยชน์จากความรู้เหล่านี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์การลงทุนของคุณได้อย่างไร Bitcoin Halving คืออะไรกันแน่ Bitcoin Halving หรือเรียกอีกอย่างว่าการลดรางวัลบล็อกลงครึ่งหนึ่ง เป็นอีเวนต์ที่ตั้งเงื่อนไขไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะเกิดขึ้นราวๆ ทุก 4 ปี หรือทุก 210,000 บล็อก โดยรางวัลที่นักขุดได้รับจากการตรวจสอบยืนยันธุรกรรมจะถูกตัดลงครึ่งหนึ่ง Satoshi Nakamoto ผู้สร้าง Bitcoin ผู้ลึกลับนำเสนอแนวคิดนี้เพื่อให้แน่ใจได้ว่า Bitcoin จะยังคงเป็นสินทรัพย์ที่หายากเช่นเดียวกับทองคำ กลไกความขาดแคลน (Scarcity) ที่มีในตัวนี้ช่วยรักษามูลค่าของ Bitcoin ไว้โดยการชะลออัตราการสร้าง Bitcoin ใหม่ ทำให้มี Bitcoin เพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น Bitcoin Halving ทำงานอย่างไร ในการทำความเข้าใจว่า Bitcoin Halving ทำงานอย่างไร เรามาสำรวจขั้นตอนการขุด Bitcoin กันก่อน Bitcoin ดำเนินงานด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยนักขุดใช้คอมพิวเตอร์อันทรงพลังในการแก้โจทย์การเข้ารหัสที่ซับซ้อน เมื่อนักขุดแก้โจทย์เหล่านี้ได้ ก็จะได้เพิ่มบล็อกใหม่ลงในบล็อกเชนเพื่อรักษาความปลอดภัยให้เครือข่ายและตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม ในทางกลับกัน นักขุดจะได้รับรางวัลเป็น Bitcoin ที่เพิ่ง Mint ขึ้นมาใหม่ สำหรับการขุดบล็อกทุก 210,000 บล็อก รางวัลที่นักขุดได้รับจะลดลงครึ่งหนึ่ง การลดลงโดยอัตโนมัตินี้จะทำให้อุปทาน Bitcoin ใหม่ที่จะเข้าสู่ระบบหมุนเวียนนั้นลดลง ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนและมักเป็นการเพิ่มความต้องการขึ้นตามไปด้วย เช่น เมื่อ Bitcoin เปิดตัว นักขุดได้รับ 50 BTC ต่อบล็อก แต่หลังจาก Halving หลายครั้ง รางวัลในปัจจุบันก็ได้ลดลงมาก ณ ปี 2025 รางวัลจากการขุด Bitcoin อยู่ที่ 3.125 BTC ต่อบล็อก Bitcoin Halving มีวันไหนบ้าง ในอดีต Bitcoin Halving เกิดขึ้นประมาณทุก 4 ปี ดังนี้: ● 28 พฤศจิกายน 2012: รางวัลลดลงจาก 50 BTC เหลือ 25 BTC ● 9 กรกฎาคม 2016: รางวัลลดลงจาก 25 BTC เหลือ 12.5 BTC ● 11 พฤษภาคม 2020: รางวัลลดลงจาก 12.5 BTC เหลือ 6.25 BTC ● 20 เมษายน 2024: รางวัลลดลงจาก 6.25 BTC เหลือ 3.125 BTC แต่ละ Halving ที่ผ่านมามีอิทธิพลต่อราคา Bitcoin อย่างมีนัยสำคัญมาโดยตลอด ซึ่งมักจะกระตุ้นให้เกิดรอบตลาด Bullish ประวัติราคา BTC ที่มา: TradingView News อีเวนต์ Bitcoin Halving ครั้งต่อไปคือเมื่อใด Bitcoin Halving ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2024 ทำให้รางวัลบล็อกลดลงจาก 6.25 BTC เหลือ 3.125 BTC คาดว่า Bitcoin Halving ครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2028 โดยอิงตามกำหนดการการสร้างบล็อกที่คาดเดาได้และช่วงเวลา 210,000 บล็อก นักลงทุนมักวางแผนกลยุทธ์โดยยึดโยงกับวันเหล่านี้ ซึ่งเป็นการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นของตลาด เหตุใด Bitcoin Halving จึงมีความสำคัญ Bitcoin Halving เป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากส่งผลโดยตรงต่ออัตราภาวะเงินเฟ้อของคริปโทเคอร์เรนซี ช่วยให้เกิดความขาดแคลนและส่งผลต่อราคาตลาด การลดอุปทานร่วมกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นหรือคงที่ มักจะส่งผลให้ราคาเพิ่มสูงขึ้น เช่น หลังจาก Halving ในปี 2016 นั้น Bitcoin ก็พุ่งจากประมาณ $600 ขึ้นไปเป็นเกือบ $20,000 ในเดือนธันวาคม 2017 ในทำนองเดียวกัน หลังจาก Halving ในปี 2020 นั้น Bitcoin ก็ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ประมาณ $69,000 ในเดือนพฤศจิกายน 2021 นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก โดยชี้ให้เห็นว่า Bitcoin อาจพุ่งไปแตะระหว่าง $180,000-$200,000 ในช่วงปลายปี 2025 โดยได้รับแรงกระตุ้นหลักจาก Halving ในปี 2024 คุณควรลงทุนใน Bitcoin ในช่วง Halving หรือไม่ การลงทุนโดยยึดโยงกับอีเวนต์ Bitcoin Halving มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง ในอดีต อีเวนต์เหล่านี้ได้กระตุ้นให้เกิดวงจรสำคัญของตลาด: ● ระยะก่อน Halving: โดยทั่วไปราคาจะปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเมื่อมีการคาดการณ์มากขึ้น ● ระยะหลัง Halving ทันที: อาจเห็นความผันผวนในระยะสั้นหรือการปรับฐานของราคาชั่วคราว ● ระยะหลัง Halving ในระยะยาว: โดยทั่วไปแล้วจะเห็นตลาดกระทิงที่แข็งแกร่งและราคาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เคล็ดลับเชิงปฏิบัติในการลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าวมีดังนี้: ● ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging: DCA) โดยลงทุนเป็นจำนวนคงที่เป็นประจำเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวน ● คอยอัปเดตข้อมูลข่าวสารด้วยแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ เช่น Bitget ที่นำเสนอเครื่องมือวิเคราะห์และตัวเลือกการลงทุนที่ปลอดภัยซึ่งปรับแต่งมาให้เหมาะสมตามวัฏจักรของตลาด ● เพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตคริปโตของคุณเพื่อลด Exposure ต่อความเสี่ยงในช่วงเวลาที่มีความผันผวน จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อขุด Bitcoin ทั้งหมดแล้ว การที่อุปทานทั้งหมดของ Bitcoin ถูกจำกัดไว้ที่ 21 ล้านเหรียญ จึงคาดว่า Bitcoin เหรียญสุดท้ายจะถูกขุดขึ้นในราวปี 2140 หลังจากนั้น นักขุดจะไม่ได้รับรางวัลบล็อกอีกต่อไป และรายได้จะขึ้นอยู่กับค่าธรรมเนียมธุรกรรมเพียงอย่างเดียว การเปลี่ยนผ่านนี้จะเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐศาสตร์การขุดโดยพื้นฐาน ซึ่งอาจทำให้มีค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่สูงขึ้นหรือกระตุ้นให้นักขุดมองหาแหล่งรายได้ทางเลือก อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการนำ Bitcoin ไปใช้งานเพิ่มขึ้นและเทคโนโลยีมีความก้าวหน้า ก็คาดว่าเครือข่ายจะยังคงปลอดภัยและทำงานได้ต่อไป วิธีหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไประหว่างอีเวนต์ Bitcoin Halving คาดว่าราคาจะพุ่งสูงขึ้นทันที ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือการคาดหวังว่าราคาจะพุ่งขึ้นทันทีหลังจากอีเวนต์ Halving อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของตลาดอาจแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ บางครั้งอาจย่อตัวในระยะสั้นได้ด้วย นักลงทุนควรอดทนและมุ่งเน้นไปที่เทรนด์ระยะยาว หลีกเลี่ยงการตัดสินใจตามอารมณ์จากความผันผวนของตลาดที่เกิดขึ้นในทันที ละเลยผลกระทบทางเศรษฐกิจของการขุด หลายคนมองข้ามผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ Halving มีต่อนักขุด ซึ่งอาจต้องลดการดำเนินงานลงหรือออกจากตลาดไป ส่งผลให้ความเร็วและต้นทุนในการทำธุรกรรมได้รับผลกระทบชั่วคราว การติดตามพฤติกรรมของนักขุดช่วยให้นักลงทุนคาดการณ์และรับมือกับการหยุดชะงักในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ มองข้ามปัจจัยระบบเศรษฐกิจและด้านการกำกับดูแล อีเวนต์ Halving ไม่ได้เกิดขึ้นแบบเดี่ยวๆ เพราะสภาพเศรษฐกิจโดยรวม การเปลี่ยนแปลงด้านการกำกับดูแล และเหตุการณ์ต่างๆ ในระดับโลกล้วนส่งผลต่อราคา Bitcoin อย่างมีนัยสำคัญ การรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการด้านเศรษฐกิจมหภาคและข่าวสารด้านการกำกับดูแลอยู่เสมอถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตัดสินใจลงทุนอย่างสมดุล Bitcoin Halving ใน 60 วินาที: คลายความสงสัยในพริบตา 1. Bitcoin Halving คืออะไร Bitcoin Halving เป็นอีเวนต์ที่มีการตั้งเงื่อนไขไว้ล่วงหน้าในการลดรางวัลของนักขุด Bitcoin ลงครึ่งหนึ่งทุก 210,000 บล็อก เพื่อควบคุมอุปทานของ Bitcoin และรักษาระดับความขาดแคลน (Scarcity) 2. Bitcoin Halving เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน Bitcoin Halving เกิดขึ้นประมาณทุก 4 ปี หรือหลังจากมีการขุดบล็อกครบ 210,000 บล็อก 3. Bitcoin Halving ส่งผลต่อราคาหรือไม่ ที่ผ่านๆ มา ส่งผล การลดอุปทานร่วมกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นหรือคงที่ มักส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากอีเวนต์ Halving 4. Bitcoin Halving เกิดขึ้นกี่ครั้งแล้ว ณ ปี 2024 นั้น Bitcoin ผ่าน Halving มาแล้ว 4 ครั้งคือในปี 2012, 2016, 2020 และ 2024 5. สามารถคาดการณ์ราคา Bitcoin จากอีเวนต์ Halving ได้หรือไม่ แม้ว่าการคาดการณ์ราคาที่แน่นอนจะเป็นเรื่องท้าทาย แต่ข้อมูลในอดีตก็ชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวขึ้นของราคาอย่างมีนัยสำคัญภายใน 1 ปีหลังจากอีเวนต์ Halving 6. จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่สามารถขุด Bitcoin ได้อีก เมื่อขุด Bitcoin ได้ครบทั้ง 21 ล้านเหรียญแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในราวปี 2140 นักขุดจะต้องพึ่งค่าธรรมเนียมธุรกรรมเป็นแหล่งรายได้เพียงอย่างเดียว บทสรุป การทำความเข้าใจว่า “Bitcoin Halving คืออะไร” ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนคริปโต นับเป็นหนึ่งในอีเวนต์หายากในวงการการเงินที่ทั้งคาดเดาได้และทรงพลัง ทุก 4 ปี ก็จะมาตามนัด Bitcoin จะคอยย้ำเตือนเราถึงการออกแบบของมันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นอุปทานที่มีจำกัด ความต้องการที่เพิ่มขึ้น และกลไกภายในที่กระตุ้นให้เกิดการคาดหวังในระดับตลาด อีเวนต์ Halving ไม่ได้รับประกันความสำเร็จในทันที แต่ให้สิ่งที่ดีกว่านั่นคือโอกาสในการเตรียมตัว วางแผน และวางตำแหน่งตนเองอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นการเดินทางกับ Bitcoin หรือเคยผ่านรอบต่างๆ มาแล้วหลายรอบ Halving แต่ละครั้งก็นำมาซึ่งโอกาสใหม่ในการประเมินกลยุทธ์ของคุณอีกครั้งและก้าวล้ำนำหน้าเสมอ คำถามก็คือ เมื่อ Halving ครั้งต่อไปใกล้เข้ามา คุณจะพร้อมที่จะทำให้มีค่าได้หรือไม่ พร้อมแล้วใช่ไหม ลงทะเบียนเลยแล้วไปสำรวจโลกคริปโตอันน่ามหัศจรรย์ผ่าน Bitget กัน! ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

คอร์สเรียนฉบับรวบรัดเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี

จากนวัตกรรมที่ก้าวล้ำของ Bitcoin ไปจนถึงระบบนิเวศที่หลากหลายของ Altcoin คริปโทเคอร์เรนซีกำลังปฏิวัติวิธีคิดของเราเกี่ยวกับตัวเงิน ระบบการเงิน และโลกของเรา คริปโทเคอร์เรนซีมาพร้อมทางเลือกที่มีการกระจายศูนย์และปลอดภัยนอกเหนือไปจากระบบการเงินแบบดั้งเดิม จึงมีศักยภาพในการแปลงโฉมให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ และเพิ่มขีดความสามารถให้กับบุคคล ในบทความนี้เราจะพาคุณไปเจาะรายละเอียดของนิยาม ประวัติ และประเภทต่างๆ ของคริปโทเคอร์เรนซีที่คุณจำเป็นต้องรู้บนเส้นทางภูมิทัศน์คริปโต นิยาม คริปโทเคอร์เรนซีเป็นสกุลเงินดิจิทัลหรือสกุลเงินเสมือนที่รักษาความปลอดภัยและตรวจสอบยืนยันธุรกรรม รวมถึงออกเหรียญ/โทเค็นใหม่ด้วย Cryptography (วิทยาการเข้ารหัสลับ) คริปโทเคอร์เรนซี (ส่วนใหญ่) ต่างจากสกุลเงินแบบดั้งเดิมที่ออกโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานกลาง เพราะมีรูปแบบกระจายศูนย์และดำเนินการบนเครือข่ายแบบ Peer-to-Peer หมายความว่าสามารถดำเนินการธุรกรรมได้โดยตรงระหว่างบุคคลโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง เช่น ธนาคาร สกุลเงินดิจิทัลมักสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งเป็นบัญชีแยกประเภท (Ledger) แบบกระจายศูนย์ที่บันทึกและตรวจสอบยืนยันธุรกรรมผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างคริปโทเคอร์เรนซียอดนิยม ได้แก่ Bitcoin , Ethereum และ Dogecoin ย้อนเข้าสู่ประวัติศาสตร์โดยย่อ ประวัติความเป็นมาของคริปโทเคอร์เรนซีสามารถย้อนกลับไปได้ถึงช่วงปลายทศวรรษ 1990 เมื่อนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ Wei Dai เสนอแนวคิดของสกุลเงินดิจิทัลที่เรียกว่า “b-money” อย่างไรก็ตาม Bitcoin ซึ่งเป็นคริปโทเคอร์เรนซีแรกที่มีการกระจายศูนย์เต็มรูปแบบนั้นสร้างขึ้นในปี 2009 โดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ไม่มีใครรู้จัก ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto Bitcoin ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้ใช้ในช่วงแรกเริ่มและในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี มีมูลค่าที่พุ่งสูงขึ้นจากเศษเสี้ยวของหน่วยเซ็นต์ไปเป็นมากกว่า US$1,000 ภายในไม่กี่ปี จากนั้นในปีต่อๆ มา คริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ เช่น Litecoin , Polkadot และ Cardano ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยแต่ละตัวมีฟีเจอร์และกรณีการนำไปใช้งานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แม้จะได้รับความนิยม แต่คริปโทเคอร์เรนซีก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคและประเด็นถกเถียงมากมายตลอดเส้นทาง โดยมักถูกนำไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายและเป็นเป้าหมายของการโจรกรรมและการแฮ็ก รัฐบาลและสถาบันการเงินต่างๆ ก็มีความเคลือบแคลงในคริปโทเคอร์เรนซี บางประเทศถึงขั้นห้ามหรือจำกัดการเทรดและ/หรือการใช้คริปโทเคอร์เรนซี อย่างไรก็ดี โลกคริปโทเคอร์เรนซีก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกสัปดาห์ หลายธุรกิจและหลายคนเริ่มยอมรับคริปโทเคอร์เรนซีเป็นรูปแบบการชำระเงิน และเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังก็มีศักยภาพในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่างๆ ไปไม่ใช่เพียงแค่ด้านการเงิน คริปโทเคอร์เรนซีประเภทต่างๆ สกุลเงิน ตามชื่อบอก เดิมทีคริปโทเคอร์เรนซีออกแบบมาให้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนหรือเป็นที่เก็บรักษามูลค่า คล้ายกับสกุลเงิน Fiat ทั่วไป คริปโทเคอร์เรนซีส่วนใหญ่จัดอยู่ในหมวดหมู่นี้เนื่องจากสามารถเทรดไปเป็นสกุลเงิน Fiat หรือคริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ ได้ ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่ Bitcoin , Litecoin และ Bitcoin Cash อรรถประโยชน์ คริปโทเคอร์เรนซีเพื่ออรรถประโยชน์ออกแบบมาให้มีฟังก์ชันหรืออรรถประโยชน์เฉพาะทางภายในระบบนิเวศหรือแพลตฟอร์มที่ใช้งาน เช่น Ripple (XRP) ใช้สำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศที่รวดเร็วและต้นทุนต่ำ Filecoin (FIL) ใช้สำหรับเป็นพื้นที่จัดเก็บและบริการแชร์ไฟล์แบบกระจายศูนย์ และ Arbitrum (ARB) ให้สิทธิ์การกำกับดูแลแก่ผู้ถือครองในโปรโตคอล Arbitrum DAO อื่นๆ โลกแห่งคริปโตไม่เคยขาดแคลนนวัตกรรมและสิ่งที่สร้างความประหลาดใจ ซึ่งทำให้เกิดคริปโทเคอร์เรนซีประเภทใหม่ๆ (ที่สนุกสนาน) โดยมีทั้ง Stablecoin ซึ่งตรึงมูลค่าไว้กับสินทรัพย์ในโลกความเป็นจริง เช่น USD, EUR หรือทองคำ ทั้ง Memecoin ซึ่งมักทำให้ผู้คนตกตะลึงได้แทบทุกเดือน เช่น DOGE และ PEPE ในรอบที่แล้ว ตลอดจนมี NFT ซึ่งล้วนมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำตัวอื่นในแบบของตัวเอง แน่นอนว่ายังคงมีคริปโทเคอร์เรนซีประเภทอื่นๆ อีกมากมาย เพราะโลกของคริปโตนั้นยังคงเติบโตและเบ่งบานไปอย่างต่อเนื่อง! ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

ประวัติศาสตร์บล็อกเชน: เทคโนโลยีบล็อกเชนเปลี่ยนโลกไปอย่างไร

เนื่องจากราคาของ Bitcoin พุ่งสูงขึ้น เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังของ Bitcoin ซึ่งก็คือบล็อกเชนจึงได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น นอกจากคริปโทเคอร์เรนซีแล้ว บล็อกเชนยังมีการใช้งานที่หลากหลาย รวมถึง Smart Contract, การยืนยันตัวตน, ข้อตกลง, สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา และการนำไปใช้งานอื่นๆ อีกมากมาย รัฐบาลและธนาคารต่างๆ ได้เริ่มศึกษาเกี่ยวกับบล็อกเชนและนำมาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง โดยมีการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในบริษัทบล็อกเชนหลายแห่ง ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกว่าเทคโนโลยีบล็อกเชน กำลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างไร และสำรวจถึงการพัฒนาในอนาคต ยุคแรกเริ่มของบล็อกเชน (ตั้งแต่ปี 1991) แนวคิดของเทคโนโลยีบล็อกเชน นั้นเริ่มต้นขึ้นในปี 1991 โดยนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ 2 คนคือ Stuart Haber และ W. Scott Stornetta โดยพวกเขาได้แนะนำโซลูชันสำหรับการป้องกันไม่ให้ข้อมูลและเอกสารถูกลงวันที่ย้อนหลังหรือแก้ไขโดยการสร้างการประทับเวลาสำหรับข้อมูลเหล่านั้น เป็นเหมือนสายโซ่ของบล็อกต่างๆ ที่มีข้อมูล ซึ่งเมื่อได้รับข้อมูลใหม่ ข้อมูลใหม่นั้นก็จะถูกบันทึกลงในบล็อกใหม่ เมื่อบล็อกนั้นมีข้อมูลเต็มแล้ว ก็จะโยงเข้ากับบล็อกก่อนหน้า ซึ่งทำให้ข้อมูลถูกโยงเข้าด้วยกันตามลำดับเวลา โซลูชันการเข้ารหัสนี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลและเอกสารที่จัดเก็บไว้ในบล็อกเชน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีบล็อกเชนไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายหรือมีการใช้กันโดยทั่วไปในช่วงเวลานั้น จนในที่สุด สิทธิบัตรเทคโนโลยีบล็อกเชนก็หมดอายุลงในปี 2004 Proof of Work ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (ตั้งแต่ปี 1990) Proof of Work (PoW) ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้นั้นถูกคิดค้นโดย Hal Finney ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ของเงินสดดิจิทัลและทำหน้าที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Bitcoin ในช่วงทศวรรษ 1990 Hal Finney มีความคิดว่ามูลค่าของเงินสดดิจิทัลไม่ควรถูกกำหนดโดยองค์กรที่เป็นผู้ออกเงินสดนั้น อุปทานของเงินสดดิจิทัลนี้มีจำกัดเพื่อให้ยากต่อการสร้าง ซึ่งสามารถทำได้โดยการกำหนดหน่วยของเงินสดดิจิทัลในแง่ของ Proof of Work ซึ่งคล้ายกับเครือข่าย Bitcoin ซึ่งอุปทานของ Bitcoin ถูกจำกัดไว้ที่ 21 ล้าน เครือข่าย Bitcoin (ตั้งแต่ปี 2009) ในปี 2008 การล่มสลายทางการเงินทำให้ประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลและระบบธนาคาร เนื่องจากธนาคารกลางเริ่มพิมพ์เงินและอัดฉีดเข้าสู่ระบบการเงิน เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนตระหนักถึงการลดมูลค่าของสกุลเงิน Fiat ในช่วงเวลานั้น บุคคลหนึ่งที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto ได้เปิดตัวระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ Peer-to-Peer แบบกระจายศูนย์ต่อชุมชน Cryptography (วิทยาการเข้ารหัสลับ) ซึ่งระบบใหม่นี้มีชื่อว่า “Bitcoin” และใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งและรับเงินดิจิทัลได้โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง นอกจากนี้ ก็ไม่มีองค์กรแบบรวมศูนย์อย่างธนาคารและรัฐบาลที่จะเป็นผู้จัดการบัญชี ตรวจสอบยืนยันธุรกรรม หรือควบคุมอุปทานของ Bitcoin แต่ปัจจุบันระบบ Bitcoin ดำเนินการด้วยคอมพิวเตอร์หลายพันเครื่องที่กระจายอยู่ทั่วโลก โดยมีการตรวจสอบยืนยันธุรกรรมโดย Node เครือข่ายผ่าน Cryptography (วิทยาการเข้ารหัสลับ) และบันทึกไว้ในบล็อกเชน Bitcoin ซึ่งใครก็สามารถมีส่วนร่วมในระบบนิเวศนี้ได้ด้วยการเข้าร่วมในกลไก Proof of Work เพื่อตรวจสอบยืนยันธุรกรรมในเครือข่ายและรับ Bitcoin เป็นรางวัล ในวันที่ 3 มกราคม 2009 มีการขุดบล็อก Bitcoin แรกโดย Satoshi Nakamoto ซึ่งเขาได้รับรางวัลเป็น 50 Bitcoin ในปี 2009 มีการแลกเปลี่ยน 10,000 Bitcoin เป็นพิซซ่า 2 ถาดที่ร้านพิซซ่าแห่งหนึ่งในฟลอริดา ถือเป็นธุรกรรม Bitcoin แรกในโลกแห่งความเป็นจริง ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 ราคา Bitcoin ขึ้นสูงเกิน 65,000 USD ฟังดูเป็นไปไม่ได้เหรอ หากคุณสนใจ คุณสามารถซื้อ Bitcoin ได้โดยตรงโดยใช้บัตรเครดิต, Apple Pay หรือ Google Pay บน Bitget นี่เป็นวิธีซื้อโดยตรงที่ง่ายสำหรับนักลงทุนคริปโตรายใหม่! Ethereum: บล็อกเชน 2.0 (ตั้งแต่ปี 2015) ในปี 2013 Vitalik Buterin โปรแกรมเมอร์และผู้ร่วมก่อตั้ง Bitcoin Magazine เสนอว่าบล็อกเชน Bitcoin จำเป็นต้องมีการอัปเดตเพื่อขยายการใช้งานนอกเหนือจากการให้บริการในฐานะระบบการเงิน อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้รับฉันทามติภายในชุมชน ต่อจากนั้น Vitalik ได้เปิดตัว Ethereum WhitePaper ซึ่งสรุปแนวคิดของการสร้างแพลตฟอร์มการประมวลผลบนบล็อกเชนใหม่ ผ่าน ICO ในปี 2014 และด้วยความพยายามในการพัฒนาที่ตามมา ในที่สุด Ethereum ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 กรกฎาคม 2015 หนึ่งในนวัตกรรมที่สำคัญของ Ethereum คือการเปิดตัว Smart Contract โดยสามารถสร้าง Smart Contract เพื่อให้ทำงานเหมือนกับสัญญาทั่วไปในโลกแห่งความเป็นจริงได้ และมีลักษณะเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ฝังอยู่ภายในบล็อกเชน Smart Contract ทำงานอย่างไร เมื่อตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่น เมื่อถึงวันหมดอายุหรือบรรลุเป้าหมายราคาที่เฉพาะเจาะจงแล้ว Smart Contract สามารถจัดการข้อตกลงได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีการแทรกแซงหรือควบคุมดูแลจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากสัญญาในโลกแห่งความเป็นจริงที่โดยทั่วไปจะได้รับการจัดการโดย 2 ฝ่ายที่ต่างกันและมีการควบคุมดูแลโดยบุคคลที่สามในเรื่องการกำกับดูแล ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายในการกำกับดูแลและปัญหาด้านความน่าเชื่อถือได้ด้วยการใช้ Smart Contract คริปโทเคอร์เรนซี ของ Ethereum รู้จักกันในชื่อ Ether (ETH) ETH ใช้เพื่อชำระค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรการประมวลผลที่จำเป็นในการดำเนินการ Smart Contract โดยสามารถโอน ETH ระหว่างบัญชีได้ เช่นเดียวกับ Bitcoin ตัวอย่างเช่น นักพัฒนาสามารถสร้างและเผยแพร่แอปพลิเคชันที่ทำงานภายในบล็อกเชน Ethereum ซึ่งแอปพลิเคชันเหล่านี้เรียกว่าแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApp) นักพัฒนาจะต้องจ่าย ETH เพื่อรับรองการทำงานที่ปลอดภัยของ DApp ขณะนี้มี DApp มากกว่าร้อยรายการที่กำลังทำงานอยู่บนแพลตฟอร์ม Ethereum รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แอปพลิเคชันการพนัน และแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนทางการเงิน Bitcoin เป็นระบบการเงินอิเล็กทรอนิกส์แบบ Peer-to-Peer ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ส่วน Ethereum ขยายการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนจากระบบการเงินไปถึง Smart Contract, ข้อตกลง และ DApp อนาคตของบล็อกเชน การถือกำเนิดของเครือข่าย Bitcoin และ Ethereum ถือเป็นการวิวัฒนาการของระบบการเงินและ Smart Contract ซึ่งเป็นการใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชนที่แพร่หลายมากที่สุด 2 อย่าง อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ในการใช้งาน Distributed Ledger และบล็อกเชนต่างๆ นั้นแทบจะไม่จำกัดเลย วิวัฒนาการขั้นที่ 3 ของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เรียกว่า บล็อกเชน 3.0 นั้นคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ และเทคโนโลยีบล็อกเชนได้ดึงดูดความสนใจและการลงทุนอย่างมาก โดยมีการทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทบล็อกเชนต่างๆ ทำให้อุตสาหกรรมกำลังมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในขอบเขตของบล็อกเชน 3.0 เราสามารถคาดหวังถึงการใช้งานบล็อกเชนในวงกว้างได้ โดยองค์กรและหน่วยงานสำคัญต่างๆ อาจนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา ตัวอย่างของการนำไปใช้งานที่เพิ่มขึ้นนี้คือการใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อการจัดการและปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เราต้องการโซลูชันที่ทั้งง่ายและมีประสิทธิภาพ มีอุตสาหกรรมจำนวนมากที่กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านเนื่องจากเทคโนโลยีบล็อกเชน ตัวอย่างเช่น ในกรณีของความปลอดภัยของอาหาร เทคโนโลยี Distributed Ledger (DLT) สามารถบันทึกข้อมูลทั้งหมด รวมถึงผลการทดสอบผลิตภัณฑ์อาหารไว้บนบล็อกเชนได้ โดยบันทึกเหล่านี้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้และป้องกันการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ซึ่งทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแก้ไขได้ยาก ความโปร่งใสของผลิตภัณฑ์อาหารและสิทธิของลูกค้าในข้อมูลต่างก็มีความปลอดภัย ส่วนในเซกเตอร์การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถช่วยยกระดับการจัดการและการจัดเก็บบันทึกผู้ป่วยได้ ทำให้ประสิทธิภาพของระบบโรงพยาบาลนั้นดีขึ้น ในอุตสาหกรรมเกม เทคโนโลยีบล็อกเชนได้ทำให้ Game-Fi ได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งเป็นระบบนิเวศการเล่นเกมแบบกระจายศูนย์ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ “Play to Earn” ได้ ทำให้ผู้เล่นสามารถรับรายได้จากการทำธุรกรรมในเกม ซื้อสินทรัพย์ในเกม หรือลงทุนในโทเค็นของโลกในเกมได้ โดยตอนนี้ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่านับพันล้านดอลลาร์ไปแล้ว ลองเข้าไปที่ Bitget Launchpad ดูสิ ที่นั่นเราได้เปิดตัวโปรเจกต์โทเค็น Game-Fi ที่มีศักยภาพไว้มากมายในปี 2022 โดย Bitget Launchpad เป็นแพลตฟอร์มใหม่สำหรับการเปิดตัวโปรเจกต์คริปโตใหม่ๆ และ Airdrop และด้วยการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของ Bitget นี้เอง ทำให้คุณได้ค้นพบโปรเจกต์ที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นได้ในทุกเดือน! เราพร้อมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกด้านการเทรด และบล็อกเชนให้กับนักลงทุนคริปโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถตัดสินใจเทรดได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วนและปรับปรุงประสบการณ์การเทรดโดยรวมอีกด้วย โปรดติดตามเรา! Twitter | Telegram | LinkedIn | Facebook | Instagram

Mice (MICE): SHIB ถัดไปแห่ง BRC-20

Mice (MICE) คืออะไร Mice (MICE) คือ BRC-20 Memecoin ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความสามารถในการขยายพันธุ์ที่รวดเร็วของหนู MICE ดำเนินงานบนพื้นที่แบบกระจายศูนย์และไม่มีเจ้าของที่เรียกว่า BRC-20 ซึ่งแนวทางนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Satoshi Nakamoto ในเรื่องฉันทามติ ความเป็นธรรม ความยุติธรรม และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยหลักการของ MICE เน้นย้ำถึงการละทิ้งความคิดที่จะทำกำไรอย่างรวดเร็วของ Memecoin ส่วนใหญ่บนบล็อกเชนอื่นๆ และเน้นไปที่การสร้างชุมชนและความมุ่งมั่นร่วมกัน MICE ถือว่าฐานะของตัวเองต่อ RATS นั้นเหมือนกับฐานะของ SHIB ที่มีต่อ DOGE RATS เป็นหนึ่งใน Meme Token ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสัตว์รายแรกๆ บนบล็อกเชน Bitcoin ภายใต้มาตรฐานโทเค็น BRC-20 MICE นั้น Deploy ในเดือนตุลาคม 2023 ณ ตอนนี้ ซึ่งผ่านมาแล้วประมาณ 2 เดือนหลังการ Deploy เราก็ได้เห็นว่า MICE มีชุมชนที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาที่มีผู้ถือ 7,136 ราย และมีมูลค่าตามราคาตลาดที่ 71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และปริมาณการเทรด 24 ชั่วโมงที่เกิน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงดูเหมือนว่าโทเค็นนี้มีการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันและความสนใจที่เพิ่มขึ้น Mice (MICE) ทำงานอย่างไร MICE โดดเด่นด้วยการนำแนวทางที่แปลกใหม่มาใช้ ซึ่งต่างกับหลายๆ โปรเจกต์ เนื่องจากไม่ได้มี Roadmap, Whitepaper หรือภาษีที่เกี่ยวข้องอย่างที่มีกันทั่วไป แต่ MICE อาศัยหลักการของมาตรฐานโทเค็น BRC-20 ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในบล็อกเชน Bitcoin ผ่านระบบ Bitcoin Ordinals อันเป็นนวัตกรรมใหม่ ระบบที่ก้าวล้ำนี้ช่วยให้สามารถ Order, ระบุตัวตน และ Inscription คอนเทนต์ดิจิทัลบน Satoshi ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของ Bitcoin Ordinals ได้เปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับนักพัฒนา ทำให้พวกเขาสามารถฝังคอนเทนต์ได้อย่างหลากหลาย เช่น ข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอ หรือแม้แต่วิดีโอเกมทั้งเกมหรือ Code ทั้งหมดลงบน Satoshi ได้โดยตรง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ศักยภาพการใช้งานของบล็อกเชน Bitcoin มีความหลากหลายเท่านั้น แต่ยังช่วยขยายความขาดแคลน (Scarcity) และเอกลักษณ์ของโทเค็นภายใต้มาตรฐาน BRC-20 อย่าง MICE ได้ด้วย หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Bitcoin Ordinals โปรดอ่าน Bitcoin Ordinals คืออะไร ทุกสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ Bitcoin NFT MICE พร้อมให้บริการบน Bitget การไม่มี Roadmap และภาษีอาจทำให้ผู้ที่อยู่ในแวดวงคริปโตแบบดั้งเดิมต้องประหลาดใจ แต่สำหรับ MICE แล้ว นี่เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นต่อหลักการที่ต่างออกไป ซึ่งจะให้ความสำคัญกับชุมชน ความเป็นธรรม และฉันทามติ นอกจากนี้ การใช้มาตรฐาน BRC-20 และการเชื่อมต่อกับระบบ Bitcoin Ordinals ทำให้ MICE เป็นสินทรัพย์ที่มีเอกลักษณ์และมีศักยภาพในด้านมูลค่า คุณพร้อมที่จะดำดิ่งสู่โลกของ MICE ที่น่าตื่นเต้นนี้แล้วหรือยัง อย่าพลาดโอกาส – เทรด MICE บน Bitget ได้แล้ววันนี้ ! วิธีเทรด MICE บน Bitget ขั้นตอนที่ 1: ไปที่หน้า “การเทรด Spot MICEUSDT / MICEUSDT spot trading ” ขั้นตอนที่ 2: ป้อนจำนวนและประเภท Order จากนั้นคลิก “ซื้อ/ขาย” หรือ “Buy/Sell” สามารถดูวิธีการโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการเทรด Spot บน Bitget ได้ที่ คู่มือฉบับเจาะลึกสู่การเทรด Spot บน Bitget ในแวดวงที่เต็มไปด้วยโปรเจกต์ที่ต่อสู้แย่งชิงความสนใจ MICE ก็มีความโดดเด่นด้วยการโอบรับความเรียบง่าย ชุมชน และศักยภาพทางนวัตกรรมของระบบ Bitcoin Ordinals แนวโน้มในอนาคตสำหรับ MICE นั้นดูสดใส ด้วยแรงขับเคลื่อนจากความมุ่งมั่นของชุมชนและสถานะของการเป็น SHIB แห่ง BRC-20 เทรด MICE บน Bitget เลย! ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

BGB Sail: ฉบับเดือนตุลาคม

ซีรีส์ BGB Sail เป็นบทวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน BGB เชิงลึก พร้อมสรุปสถานการณ์ในตลาดทุกสิ้นเดือน BGB Sail: ฉบับเดือนกันยายน ดูได้ที่นี่ สรุปสถานการณ์ในตลาด ในเดือนตุลาคม UPtober นี้ มูลค่าตามราคาตลาดคริปโตของทั้งตลาดเพิ่มขึ้นจาก US$1,153,294,059,599 เป็น US$1,351,964,680,376 สะท้อนถึงการเพิ่มขึ้น 17.2% ข่าวที่ใหญ่ที่สุดคือ Bitcoin ไม่เพียงยืนเหนือระดับ US$27,000 ได้เท่านั้น แต่ยังไต่ขึ้นไปถึง US$29,000 ได้ในวันที่ 20 ตุลาคม จากนั้นทะยานขึ้นสู่ระดับ US$35,000 ได้ในวันสุดท้ายของเดือน มูลค่าตามราคาตลาดของ Bitcoin เพิ่มขึ้นถึง 28.3% แต่ก็ยังไม่ใช่ตัวที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด Solana เป็นผู้นำ Altcoin Rally หลังจาก Bitcoin ฟื้นตัว โดยมีมูลค่าตามราคาตลาดเพิ่มขึ้น 66.8% พลิกแซง Cardano และ Dogecoin ขึ้นสู่อันดับที่ 8 ตามอันดับคริปโตที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงสุด โดย SOL ทะลุ US$35 ในวันที่ 31 ตุลาคม ก่อนที่จะทะลุ US$40 ได้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2023 ส่วนในวันที่ 15 พฤศจิกายน SOL ก็กำลังไต่ขึ้นไปแตะ US$60 ปริมาณ SOL ในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากเดือนกันยายนมาเป็น US$21,495,338,444 คุณอาจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น การที่ราคา SOLana พุ่งขึ้นได้ระดับนี้ก็มีคำอธิบายอยู่บางประการ หนึ่งในนั้นคือคำตัดสินของศาลกรณีการล้มละลายของ FTX ที่จะให้มีการแบ่งชำระบัญชีสินทรัพย์ FTX เป็นชุดๆ ทุกสัปดาห์เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตลาดถูกบังคับขายต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ ดังนั้นจึงไม่มีแรงกดดันด้านอุปทาน ทำให้ SOL กลับมายืนที่ระดับแนวรับ US$20 ได้สำเร็จในช่วงปลายเดือนกันยายน อีกทั้งการอัปเกรดระบบนิเวศทั้งหมดก็ได้ผลักดันราคาให้ขึ้นสู่ระดับสูงสุดในปีนี้ด้วย บริษัทวิเคราะห์ข้อมูล Santiment คาดการณ์ถึงโมเมนตัม Bullish สำหรับ Solana จากการที่ “เกือบ 2% ของการสนทนาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ 100 อันดับแรกนั้นเกี่ยวข้องกับ SOL” เมื่อดูผลตอบแทนของ 10 อันดับแรก จะเห็นว่า SOL ทิ้งห่างโทเค็น L1 อื่นๆ อย่างชัดเจนด้วยมูลค่าที่พุ่งขึ้นถึง 70% ซึ่งก็เป็นผลมาจาก TVL และกิจกรรมใน DeFi บน Solana ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะของ DEX ทุกสายตาจับจ้องไปที่การอนุมัติ Bitcoin Spot ETF และการพิจารณาคดี FTX ซึ่งสามารถอ่านทั้งหมดเพิ่มเติมได้ดังต่อไปนี้: การคาดการณ์ว่า Bitcoin ETF จะได้รับการอนุมัติจุดประกายความคาดหวังในทางบวก และผลักดันให้ราคาพุ่งขึ้น การพิจารณาคดี FTX 2 สัปดาห์แรก: มิตรกลายเป็นศัตรู ความลับถูกเปิดเผย เกิดอะไรขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของการพิจารณาคดี Sam Bankman-Fried คำตัดสินออกมาแล้ว: คำให้การของ Sam Bankman-Fried ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายกระจ่างไม่เหลือข้อสงสัย ติดตามข่าวสารล่าสุดกับซีรีส์ Bitget Hot Takes ของเรา (ออกทุกวันจันทร์) ได้ที่นี่ ผลตอบแทน (Performance) ของ BGB ในเดือนตุลาคม BGB เผชิญกับการปรับตัวลงที่น้อยกว่า 10% ในเดือนตุลาคมอยู่เป็นครึ่งเดือน จากนั้นเริ่มฟื้นตัวได้ในช่วง 5 วันสุดท้าย ขึ้นไปทำจุดสูงสุดของเดือนที่ US$0.486946 ซึ่งสูงกว่าระดับ US$0.46014 ของเดือนกันยายนอยู่ 5.8% ส่วนปริมาณ 30 วันก็ลดลงเล็กน้อย 4.4% จาก 546 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกันยายน แต่ก็ยังคงอยู่เหนือระดับ 500 ล้าน มีเพียง MX และ CRO ที่ปรับตัวขึ้นมากกว่า 20% โดยโทเค็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่มีมูลค่าตามราคาตลาดเพิ่มขึ้นน้อยกว่าของ 10 อันดับแรก อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย 5% ในเดือนตุลาคมก็ยังคงคิดเป็นส่วนต่างมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐระหว่างมูลค่าตามราคาตลาดของ BGB กับของ GT ส่วน HT เป็นเพียงตัวเดียวในกลุ่มที่สิ้นสุดเดือนด้วยการติดลบ โดยมูลค่าตามราคาตลาดลดลง 1% เมื่อเร็วๆ นี้ BGB เพิ่งทำ All Time High ไปที่ US$0.583651 ในวันที่ 13 พฤศจิกายน สามารถตามไปดูเรื่องราวทั้งหมดได้ในบทความ BGB ทำ ATH ใหม่ในเดือนพฤศจิกายน เพิ่งรู้จัก BGB และ Bitget ใช่ไหม ดูข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ Bitget Token (BGB) พร้อมทั้งบทวิเคราะห์รายเดือนด้านล่างได้เลย: BGB Sail: ฉบับเดือนกันยายน 2023 BGB Sail: ฉบับเดือนสิงหาคม 2023 BGB Sail: ฉบับเดือนกรกฎาคม 2023 BGB Sail: ฉบับเดือนมิถุนายน 2023 BGB Sail: ฉบับเดือนพฤษภาคม 2023 BGB Sail: ฉบับเดือนเมษายน 2023 Bitget-Verse เราเฉลิมฉลองครบรอบ 15 ปีของ Bitcoin Whitepaper โดยถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของ Satoshi Nakamoto ออกมาด้วยการขยายและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่งจะช่วยเร่งให้เกิดการนำคริปโทเคอร์เรนซีและ Web3 ไปใช้งานมากขึ้น ความเคลื่อนไหวใน Spot และ Futures OI คริปโตเฉลี่ยรายเดือนบน Bitget Futures เพิ่มขึ้นจาก US$3,108,848,234 ในเดือนกันยายนไปเป็น US$3,457,877,710 (+11.2%) ในเดือนตุลาคม และ OI ของ Bitcoin เฉลี่ยรายเดือนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน 8.2% สะท้อนถึงสัดส่วนการครองตลาดของ BTC ในการเทรด Futures บน Bitget ที่ลดลงอีกเกือบ 3% การเทรด Futures บน Bitget มีรายการลิสต์ใหม่ดังนี้: • POLYXUSDT • WAXPUSDT • ORBSUSDT • BIGTIMEUSDT • LOOMUSDT ปริมาณทั้งหมดในการเทรด Spot บน Bitget ในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 73.1% เป็น US$9,709,826,679 ซึ่งสูงกว่าในเดือนมกราคมถึง 3.3 เท่า จากการมีรายการลิสต์ใหม่ 26 รายการ โดย 5 รายการเป็นการลิสต์ครั้งแรกและมีการจัดกิจกรรมมากมายสำหรับโทเค็นที่ลิสต์ใหม่ต่างๆ เช่น การซื้อ BIGTIME และ NERD แบบไร้ค่าธรรมเนียม โดยเป็นกิจกรรมแบบจำกัดเวลาสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต/เดบิต โปรแกรมไร้ค่าธรรมเนียมของเรายังคำนึงถึงความต้องการของผู้ถือบัตรเครดิต/เดบิตที่จะซื้อโทเค็นอื่นๆ ด้วย จึงจัดให้ทุกวันพุธและทุกสุดสัปดาห์! และสำหรับผู้ใช้ใหม่ ก็สามารถรับ Cashback ได้สูงสุดถึง 50% เมื่อซื้อคริปโตครั้งแรกผ่านบัตรเครดิต/เดบิตหรือด้วยการฝากผ่านธนาคาร: รับส่วนแบ่งจาก Pool รางวัลรายสัปดาห์ 10,000 USDT ได้ถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน จะเห็นได้ว่ามี 1 จาก 5 รายการลิสต์ครั้งแรกบน Bitget (OFN) ติดอันดับ Gainer รายวันประจำเดือนอยู่ใน 5 อันดับแรก สะท้อนให้เห็นว่าค่อนข้างเป็นไปได้ที่โทเค็นซึ่งทีมงาน Spot ของเราคัดสรรมาเป็นอย่างดีให้เปิดตัวผ่าน Bitget นั้นจะลงเอยด้วยการเป็นผู้ทำผลตอบแทน 24 ชม. ได้สูงสุดเป็นอันดับต้นๆ นอกจากนี้ คุณยังสามารถรับโทเค็นใหม่ได้ฟรีผ่านทาง Bitget CandyBomb แพลตฟอร์มรับ Airdrop ตามภารกิจของเราซึ่งเป็นเจ้าแรกในวงการคริปโต โดยในเดือนตุลาคมมีการแจก Airdrop ให้กับผู้เข้าร่วมไปด้วยกัน 3 รอบ คิดเป็นมูลค่ารางวัลรวมราว US$13,217 ในขณะที่ Bitget Launchpad ให้คุณมีโอกาสซื้อโทเค็นอนาคตไกล Bitget CandyBomb ก็ให้คุณรับโทเค็นที่คัดสรรมาไปแบบฟรีๆ ในเดือนตุลาคม เครือข่าย Copy Trader ของ Bitget Copy Trade ของเราก็มี Elite Trader รายใหม่มากกว่า 4,000 ราย ซึ่งช่วยให้มีการเทรดที่ทำกำไรได้เพิ่มขึ้นถึง 11.9% สำหรับ Copy Trading นี้ เราเพิ่งเปิดตัว “โหมดส่วนตัว / Private Mode” ใหม่ไป โดยนักเทรดสามารถสร้างสายสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับผู้ติดตามของตนได้ และใช้สายสัมพันธ์นี้พัฒนากลยุทธ์การเทรดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อที่จะเป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่าย ดูคู่มือเกี่ยวกับโหมดส่วนตัวของ Bitget Copy Trade ได้ดังนี้: Bitget เปิดตัวโหมดส่วนตัวสำหรับ Copy Trading โหมดส่วนตัวสำหรับ Copy Trading: เนื้อหาที่ Elite Trader ต้องอ่าน โหมดส่วนตัวของ Bitget: เนื้อหาที่ผู้ติดตามต้องอ่าน ในฐานะ Elite Trader หน้าใหม่ Bitget Copy Trade ขอต้อนรับคุณอย่างอบอุ่นด้วยหลากหลายวิธีในการรับผลตอบแทนให้มากขึ้นจากการใช้ทักษะการเทรดของคุณ สมัคร Bitget ในฐานะ Elite Trader เพื่อรับรางวัลเลย ส่วนผู้ติดตามก็สามารถรับส่วนแบ่งจากรางวัล 50,000 USDT ได้จนถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน! เข้าร่วมอีเวนต์ชิงรางวัลของเราตอนนี้ได้เลย: เข้าร่วมทีม Bitget Builder — รับส่วนแบ่งจากงบประมาณสำหรับอีเวนต์ออฟไลน์มูลค่า US$20,000 และชิงรางวัลผลิตภัณฑ์ “ตระกูล Apple”! RATS (RATS) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก 6,000 USDT กัน! อีเวนต์เหรียญยอดนิยม 5: รับส่วนแบ่งจากรางวัล 10,000 USDT และ 10,000 BGB! ทำการเทรด Spot Margin ในเดือนพฤศจิกายนเพื่อรับส่วนแบ่งจาก 60,000 USDT และ Mystery Box! รางวัลสำหรับผู้ใช้ใหม่ — ฝาก IOTX เพื่อรับส่วนแบ่งจาก 380,000 IOTX รับรางวัลง่ายๆ $5-$20 ได้ทุกสัปดาห์ในฐานะผู้ค้า INR บน Bitget P2P! เริ่มใช้งาน Bot Copy Trading เพื่อรับส่วนแบ่งจาก 50,000 USDT Neutron (NTRN) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก NTRN มูลค่า $6,000 กัน! ฝากเพื่อลิสต์: D3D Social (D3D) - ฝากแล้วรับส่วนแบ่งจากรางวัล 30,000 USDT! Learn2Earn: ทำแบบทดสอบ Verified USD (USDV) เพื่อลุ้นรับรางวัล 20,000 USDV และ 10,000 BGB! Verified USD (USDV) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก 10,000 USDV กัน! Sexone (SEX) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก SEX มูลค่า $3,800 กัน! ฝากเพื่อลิสต์: Art de Finance (ADF) - ฝากแล้วรับส่วนแบ่งจากรางวัล 2,700 ADF! Sundae The Dog (SUNDAE) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก SUNDAE มูลค่า $3,800 กัน! รับรางวัลง่ายๆ 3,000-10,000 NGN ได้ทุกสัปดาห์สำหรับผู้ใช้ NGN! Virtual Versions (VV) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก 630,000 VV กัน! Nakamoto Games (NAKA) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก 10,000 NAKA กัน! Chappyz (CHAPZ) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก 20,000 USDT กัน! เพียงแค่สร้างบัญชี แล้วเริ่มสำรวจ Bitget-Verse ที่น่าทึ่งวันนี้เลย!

ปลดล็อกสินทรัพย์ในโลกความเป็นจริงบนบล็อกเชน: พรมแดนใหม่ในโลกการเงิน

เมื่อ Satoshi Nakamoto เปิดตัวบล็อกเชนครั้งแรกในปี 2009 ถือเป็นการนำเสนอทางเลือกที่ต่างไปจากโซลูชันทางการเงินแบบดั้งเดิม โดยหัวใจหลักของบล็อกเชนคือบัญชีแยกประเภทดิจิทัลที่มีลักษณะกระจายศูนย์และไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ ซึ่งเดิมทีออกแบบมาเพื่อรากฐานให้กับคริปโทเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวโทเค็นและ Smart Contract ก็ได้ทำให้ศักยภาพของบล็อกเชนขยายออกไปไกลอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ในตอนแรก องค์กรอย่าง Tether และ Circle เริ่มออกโทเค็นที่ตรึงมูลค่ากับดอลลาร์สหรัฐ คือ USDT และ USDC และกลายเป็นสะพานเชื่อมหลักระหว่างโลกความเป็นจริงและโลกคริปโต จากนั้น ศิลปินและบริษัทต่างๆ พยายามที่จะนำงานศิลปะมาสู่บล็อกเชน เป็นการเริ่มกระแส NFT อันร้อนแรง ปัจจุบันนี้ ด้วยผู้บุกเบิกอย่าง Maker, Swarm และ ATLANT ทำให้มีสินทรัพย์ในโลกความเป็นจริง (RWA) มากขึ้นที่กำลังได้รับการแปลงให้เป็นโทเค็น (Tokenize) บนบล็อกเชน จากดอลลาร์สู่ตั๋วเงินคลัง (T-Bill) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2023 ยักษ์ใหญ่ด้าน Stablecoin อย่าง Tether ได้รายงานผลกำไรมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ Tether ซื้อตั๋วเงินคลังด้วยเงินดอลลาร์ที่มีหลักประกัน และในกรณีที่คุณสงสัย ดอกเบี้ยที่เกิดจากตั๋วเงินคลังเหล่านี้จะเก็บไว้โดย Tether ผู้ถือ USDT หรือผู้ถือ Stablecoin แบบรวมศูนย์ส่วนใหญ่จะไม่ได้รับดอกเบี้ย ตั๋วเงินคลัง (เรียกสั้นๆ ว่า T-Bill) นั้นออกและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นภาระหนี้ระยะสั้นที่จ่ายอัตราดอกเบี้ยคงที่โดยไม่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระ โดยนักลงทุนและสถาบันจะซื้อตั๋วเงินคลังจำนวนมากเพื่อจัดการสภาพคล่อง ป้องกันความเสี่ยง และอื่นๆ ซึ่งทำหน้าที่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบพื้นฐานของระบบการเงินสมัยใหม่ของเรา ในภูมิทัศน์ DeFi ของเราในปัจจุบัน ผลตอบแทนส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากค่าธรรมเนียมการ Swap และดอกเบี้ยการกู้ยืม ซึ่งเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับกิจกรรมแบบ On-Chain อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโปรโตคอล DeFi อย่าง Maker, Aave และ Canto นำตั๋วเงินคลังที่ผ่านการแปลงให้เป็นโทเค็นมาสู่บล็อกเชนและแจกจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ผู้ที่ถือ ทำให้มีกระแสรายได้ใหม่ที่มั่นคงและเป็นอิสระสำหรับผู้เข้าร่วมบล็อกเชนทุกคน ซึ่งจะดึงดูดสภาพคล่องมากขึ้นจากทั้งภายในและภายนอกเซกเตอร์ของคริปโต อีกทั้งขับเคลื่อนภูมิทัศน์ DeFi ทั้งหมดไปสู่อนาคตที่หลากหลายและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตั้งแต่ลูกแมวไปจนถึงบ้าน เมื่อ Ethereum เปิดตัวมาตรฐานโทเค็น ERC-20 และ ERC-721 คงจะไม่มีใครเชื่อ หากคุณบอกว่าผู้คนจะเริ่มแปลงสินทรัพย์ต่างๆ ให้กลายเป็นโทเค็นบนบล็อกเชน โดยมีตั้งแต่ Kitten, Ape และ Punk ไปจนถึงหลักทรัพย์ ทรัพย์สินทางปัญญา และแม้กระทั่งบ้าน โทเค็นเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของและมูลค่าของสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งสามารถซื้อ ขาย และเทรดได้เหมือนกับสินทรัพย์แบบดั้งเดิม แต่มีสิทธิประโยชน์ของเทคโนโลยีบล็อกเชนเพิ่มเข้ามาด้วย จากความเฟื่องฟูของ ICO ที่ได้เห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Fungible Token ไปจนถึงความคลั่งไคล้ใน NFT ที่ผลักดันให้ Non-Fungible Token มาสู่แถวหน้า สินทรัพย์ที่ผ่านการ Tokenized ได้ขับเคลื่อนการเติบโตและวิวัฒนาการของเซกเตอร์บล็อกเชนมาอย่างสม่ำเสมอ ด้วยโปรโตคอลอย่าง Swarm ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเทรดหลักทรัพย์ที่ผ่านการ Tokenized และ ATLANT ซึ่งเชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าที่ผ่านการ Tokenized โลกกำลังจะสั่นสะเทือนอีกครั้งด้วยโทเค็น และด้วยการแปลงสินทรัพย์ในโลกความเป็นจริงให้เป็นโทเค็น โปรโตคอลเหล่านี้พร้อมที่จะขยายอิทธิพลของอุตสาหกรรมบล็อกเชนไปยังเซกเตอร์อื่นๆ มากมาย ซึ่งจะเป็นการดึงดูดผู้ใช้ ฟังก์ชัน และสภาพคล่องมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยมาตรฐานโทเค็นที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น โทเค็นที่ใช้งานได้ (Functional Token) และการถือครองกรรมสิทธิ์แบบสัดส่วน (Fractional Ownership) ทำให้การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์กำลังเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ไม่ใช่แค่สำหรับอุตสาหกรรมบล็อกเชนเท่านั้น แต่สำหรับทุกอุตสาหกรรม สรุปปิดท้าย เทคโนโลยีบล็อกเชนได้ปลดล็อกพรมแดนใหม่ในโลกการเงิน โดยที่สินทรัพย์ในโลกความเป็นจริงเกือบทุกอย่างสามารถอยู่ในรูปแบบโทเค็นดิจิทัลบนบล็อกเชนได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุดและปลอดภัย โดยกระบวนการการ Tokenize นี้มีศักยภาพในการปฏิวัติวิธีที่เราซื้อ ขาย และลงทุนในสินทรัพย์ ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเข้าถึงโลกการเงินได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับนวัตกรรมอื่นๆ ก็ยังมีความท้าทายและความซับซ้อนที่ต้องจัดการ ข้อพิจารณาด้านกฎระเบียบ กรอบกฎหมาย และข้อกังวลด้านความปลอดภัยยังคงพัฒนาไปพร้อมกับตลาดที่กำลังเติบโตนี้ เมื่อเราก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่อันเด็ดเดี่ยวนี้ สิ่งสำคัญคือต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไปพร้อมๆ กับการสำรวจศักยภาพอันน่าทึ่งของที่แห่งนี้ อนาคตสำหรับสินทรัพย์และการเงินในโลกความเป็นจริงบนบล็อกเชนนั้นดูเป็นไปในทางบวก เมื่อเทคโนโลยีเติบโตเต็มที่และภูมิทัศน์ด้านกฎระเบียบมีความชัดเจนมากขึ้น นวัตกรรมนี้จะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมทางการเงินของเรา เข้าร่วมกับเราในการเดินทางสู่อาณาจักรที่น่าตื่นเต้นของสินทรัพย์บนบล็อกเชน และค้นหาคำตอบว่าสินทรัพย์เหล่านี้พร้อมจะเปลี่ยนแปลงโลกอย่างที่เราคุ้นเคยได้อย่างไร

มุมมองรอบด้านเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี 10 อันดับแรกตามมูลค่าตามราคาตลาด

ในขณะที่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซียังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง รายชื่อผู้เล่นตัวหลักๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนผู้ช่ำชองที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนของคุณ หรือเป็นมือใหม่ที่พยายามทำความเข้าใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี การมองไปยังคริปโทเคอร์เรนซีชั้นนำตามมูลค่าตามราคาตลาดนั้นสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกอันล้ำค่าได้ คู่มือฉบับสมบูรณ์นี้ประกอบด้วยข้อมูลที่สดใหม่จากคลังข้อมูลที่เชื่อถือได้ของ CoinGecko ซึ่งอัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2023 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยคุณในการเดินทางฝ่าเขาวงกตอันซับซ้อนในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัล เราจะพาไปดูข้อมูลฟีเจอร์ ความเป็นมา และเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังคริปโทเคอร์เรนซี 10 อันดับแรกที่กำลังครองตลาดอยู่ในปัจจุบัน อันดับที่กล่าวถึงในบทความนี้อิงตามข้อมูลจาก CoinGecko ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2023 และอาจมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป Bitcoin (BTC): เจ้าแห่งคริปโต ภาพรวม อันดับ 1 ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดที่ US$530,079,527,201 เศรษฐศาสตร์ของโทเค็น: จำกัดอุปทานสูงสุดไว้ที่ 21 ล้าน ข้อได้เปรียบ: มักถูกมองว่าเป็น “ทองคำดิจิทัล” โดย Bitcoin ถูกมองว่าเป็นการป้องกันความเสี่ยง (Hedge) ต่อเงินเฟ้อ All Time High (ATH) และ All Time Low (ATL): US$69,044 (พ.ย. 2021) และ US$67.81 (ก.ค. 2013) Bitcoin (BTC) คือคริปโทเคอร์เรนซีสกุลแรกของโลก เปิดตัวสู่สายตาชาวโลกโดยนักพัฒนานิรนามที่ดำเนินงานภายใต้นามแฝงว่า “Satoshi Nakamoto” โดย Bitcoin ดำเนินงานบนระบบบัญชีแยกประเภท (Ledger) แบบกระจายศูนย์ที่ใช้ Cryptography (วิทยาการเข้ารหัสลับ) ในลักษณะของบล็อกเชน ด้วยเหตุนี้ Bitcoin จึงไม่ได้ถูกควบคุมโดยธนาคารกลางหรือหน่วยงานกลางใดๆ ใครๆ ก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของบล็อกเชนนี้ได้และจะได้รับรางวัลเป็น Bitcoin จากการเข้าร่วมในกระบวนการ “การขุด” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Bitcoin ให้ผลตอบแทนเหนือกว่าดัชนีหุ้นหลักอย่าง SP 500 และ Dow Jones Industrial Average แม้ตลาดหุ้นจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ Bitcoin ก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกว่ามากทีเดียว โดยในช่วงเดือนมีนาคม 2023 นั้น Bitcoin ให้ผลตอบแทนเหนือกว่า 97% ของบริษัททั้งหมดใน SP 500 เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Bitcoin (BTC) Bitcoin Halving | Pizza Day | มูลค่าและราคา | คู่มือการเทรด Bitcoin | คำถามที่พบบ่อย | แนวคิดหลัก | Bitcoin NFT | สงคราม Block Size | Bitcoin ETF คืออะไร วิธีได้ BTC ซื้อ/ขาย BTC ด้วย Fiat Bitcoin ได้กลายมาเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่ผู้คนสามารถลงทุนหรือเก็งกำไรได้ด้วยเช่นกัน คุณสามารถซื้อและขาย BTC ด้วยสกุลเงิน Fiat ท้องถิ่นของคุณ ซึ่งรวมไปถึงด้วยช่องทางผู้ให้บริการการชำระเงินผ่านบุคคลที่สาม, ตลาด P2P และบัตรเครดิต/เดบิตบน Bitget ได้ตลอดเวลา ปัจจุบัน Bitget รองรับมากกว่า 140 สกุลเงินและมากกว่า 70 วิธีการชำระเงิน ซึ่งรวมไปถึง Mastercard, VISA, SEPA, SWIFT และวิธีการชำระเงินอื่นๆ ตามท้องถิ่น เข้าสู่ระบบไปยังบัญชี Bitget ของคุณ เลื่อนเมาส์ไปวางเหนือ “ซื้อคริปโต / Buy Crypto” แล้วเลือกวิธีการชำระเงินที่ใช้ได้ในประเทศ/ภูมิภาคของคุณ เทรด BTC ในตลาด Bitget Spot และ Futures การเทรด Spot เทรด Bitcoin Spot: BTCUSDT เทรด Bitcoin Spot Margin: BTCUSDT เทรด Bitcoin Spot Grid: BTCUSDT Bitcoin Spot Martingale: BTCUSDT ลงทุน Bitcoin Spot แบบอัตโนมัติ: BTCUSDT การเทรด Futures Bitcoin Coin-M Futures: BTCUSD Bitcoin USDT-M Futures: BTCUSDT Bitcoin USDC-M Futures:BTCUSDC เทรด Bitcoin Futures Grid: BTCUSDT Ethereum (ETH): ผู้บุกเบิก Smart Contract ภาพรวม อันดับ 2 ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดที่ US$204,844,559,374 เศรษฐศาสตร์ของโทเค็น: ไม่ได้กำหนดขีดจำกัดอุปทานไว้ ข้อได้เปรียบ: รองรับแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์, Smart Contract รวมถึงกิจกรรมใน DeFi และ NFT ส่วนใหญ่ All Time High (ATH) และ All Time Low (ATL): US$4,878.26 (พ.ย. 2021) และ US$0.432979 (ต.ค. 2015) Ethereum เป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนแบบกระจายศูนย์ที่พัฒนาโดย Vitalik Buterin โปรแกรมเมอร์ชาวรัสเซีย Ethereum ไม่ได้ถูกควบคุมจัดการโดยเซิร์ฟเวอร์หรือองค์กรแบบรวมศูนย์ แต่ดำเนินงานบนคอมพิวเตอร์หลายพันเครื่องที่กระจายอยู่ทั่วโลก Ethereum เป็นมากกว่าสกุลเงินเพราะทำให้โลกได้รู้จักกับพลังแห่ง Smart Contract โดยเป็นแพลตฟอร์มให้กับแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApp) และเป็นรากฐานให้กับเซกเตอร์ DeFi และ NFT ส่วนใหญ่ แม้ Ethereum จะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2023 แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้สะท้อนให้เห็นจากจำนวนผลการค้นหาบน Google หากดูสัดส่วนการครองตลาดของ Bitcoin ที่ 42.5% นับจากต้นปีมาถึงช่วงเวลาปัจจุบัน Ethereum ยังคงรั้งอันดับ 2 ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นที่ 18.1% ซึ่งถือว่าทิ้งห่างคริปโทเคอร์เรนซีอันดับ 3 อย่าง Tether (USDT) ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 6.7% โดย Tether นั้นเป็น Stablecoin และมักได้รับการยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยสำหรับมือใหม่ในวงการคริปโต เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Ethereum (ETH) Ethereum คืออะไร | The Merge | วันเกิด | มูลค่าและราคา ตอนที่ 1 และตอนที่ 2 วิธีได้ ETH ซื้อ/ขาย ETH ด้วย Fiat คุณสามารถซื้อและขาย ETH ด้วยสกุลเงิน Fiat ท้องถิ่นของคุณ ซึ่งรวมไปถึงด้วยช่องทางผู้ให้บริการการชำระเงินผ่านบุคคลที่สาม, ตลาด P2P และบัตรเครดิต/เดบิตบน Bitget ได้ตลอดเวลา เทรด ETH ในตลาด Bitget Spot และ Futures การเทรด Spot เทรด ETH Spot: ETHUSDT เทรด ETH Spot Margin: ETHUSDT เทรด ETH Spot Grid: ETHUSDT ETH Spot Martingale: ETHUSDT ลงทุน ETH Spot แบบอัตโนมัติ: ETHUSDT การเทรด Futures ETH Coin-M Futures: ETHUSD ETH USDT-M Futures: ETHUSDT ETH USDC-M Futures: ETHPERP เทรด ETH Futures Grid: ETHUSDT Tether (USDT): ยักษ์ใหญ่ Stablecoin ภาพรวม อันดับ 3 ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดที่ US$82,857,760,603 เศรษฐศาสตร์ของโทเค็น: USDT ไม่ได้จำกัดจำนวนอุปทานทั้งหมดเนื่องจากจำนวน USDT ที่ออกนั้นขึ้นอยู่กับมูลค่ารวมของสินทรัพย์ในทุนสำรองของ Tether ข้อได้เปรียบ: Tether ให้เสถียรภาพภายในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีที่มีความผันผวน All Time High (ATH) และ All Time Low (ATL): US$1.32 (ก.ค. 2018) และ US$0.57 (มี.ค. 2015) Tether (USDT) เป็นคริปโทเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 (รองจาก Bitcoin และ Ethereum) และเป็น Stablecoin ที่ใหญ่ที่สุดตามมูลค่าตามราคาตลาด Tether เป็น Stablecoin ที่ตรึงมูลค่าไว้กับ USD หมายความว่า USDT สามารถแลกเปลี่ยนเป็น USD ได้ในอัตราส่วน 1: 1 เหรียญนี้สร้างขึ้นในปี 2014 โดยใช้ชื่อเดิมว่า “Realcoin” แต่ได้รีแบรนด์มาเป็น Tether ในภายหลังของปีเดียวกัน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2023 เสถียรภาพของ USDT ซึ่งเป็น Stablecoin ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและตรึงมูลค่าไว้กับ USD นั้นเผชิญกับการเบี่ยงเบนเล็กน้อยจากมูลค่าปกติที่ US$1.00 โดยแม้ราคาหล่นลงไปถึง US$0.996 แต่ก็ฟื้นตัวกลับมาที่ US$0.999 ได้อย่างรวดเร็วในเวลาต่อมาภายในวันเดียวกันนั้นเอง แต่เนื่องจาก USDT เป็น Stablecoin ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาด การหลุดมูลค่าที่ตรึงไว้แม้เพียงเล็กน้อยจึงทำให้เกิด FUD และการเก็งกำไรในชุมชนคริปโตได้อย่างกว้างขวาง เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Tether (USDT) Tether (USDT) คืออะไร | Tether หลุดราคาตรึงในฤดูร้อนปี 2023: เกิดอะไรขึ้นกับ USDT วิธีได้ USDT ที่ส่วน “ซื้อคริปโต / Buy Crypto” ในหน้าแรก จะพบตัวเลือกมากมายในการซื้อ USDT: - บัตรเครดิต/เดบิต: เรารองรับมากกว่า 140 สกุลเงิน Fiat และมากกว่า 70 วิธีการชำระเงิน ซึ่งรวมไปถึง Mastercard, VISA, SEPA และ SWIFT - การเทรด P2P: สามารถซื้อ USDT ด้วยวิธีการชำระเงินในท้องถิ่นของคุณได้ในราคาที่คุณต้องการ - บุคคลที่สาม: สามารถซื้อ USDT ด้วยหลากหลายสกุลเงิน Fiat ได้เช่นกันผ่านทางผู้ให้บริการบุคคลที่สามของเรา เช่น Simplex, Banxa และ Mercuryo BNB (BNB): ผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน ภาพรวม อันดับ 4 ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดที่ US$34,306,930,411 เศรษฐศาสตร์ของโทเค็น: อุปทานทั้งหมดคือ 200,000,000 ข้อได้เปรียบ: BNB ทำหน้าที่เป็นคริปโทเคอร์เรนซีดั้งเดิมของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน Binance ให้ส่วนลดค่าธรรมเนียมธุรกรรมกับนักเทรด และให้นักเทรดเข้าถึงระบบนิเวศได้ All Time High (ATH) และ All Time Low (ATL): US$686.31 (พ.ค. 2021) และ US$0.0398 (ต.ค. 2017) BNB ถือกำเนิดขึ้นในฐานะโทเค็นดั้งเดิมของ Binance ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยให้ส่วนลดค่าธรรมเนียมธุรกรรมบนแพลตฟอร์ม Binance และเป็นส่วนสำคัญต่อการเติบโตของ Binance Smart Chain เดิมทีโทเค็น BNB เปิดตัวมาด้วยการเป็นโทเค็น ERC-20 เพื่อระดมทุนสำหรับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน Binance ในปี 2017 วิธีได้ BNB เทรด BNB ในตลาด Bitget Spot และ Futures ตลาด Futures BNBUSDT ตลาด Spot BNBUSDT BNBUSDC Ripple (XRP): ผู้เชี่ยวชาญข้ามพรมแดน ภาพรวม อันดับ 5 ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดที่ US$27,764,349,639 เศรษฐศาสตร์ของโทเค็น: อุปทานทั้งหมดของ XRP อยู่ที่ 1 แสนล้านโทเค็น ข้อได้เปรียบ: XRP มีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนที่รวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ All Time High (ATH) และ All Time Low (ATL): US$3.40 (ม.ค. 2018) และ US$0.0026 (พ.ค. 2014) Ripple ถือได้ว่าเป็นทั้งคริปโทเคอร์เรนซีและเครือข่ายการชำระเงินดิจิทัล Ripple ร่วมก่อตั้งโดย Chris Larsen และ Jed McCaleb เปิดตัวในปี 2012 โดยสำหรับทั้งธนาคารและสถาบันการเงินนั้น Ripple เป็นระบบธุรกรรมสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ Ripple เป็นชื่อของบริษัทและเครือข่ายทางการเงิน ส่วน XRP เป็นโทเค็นประจำแพลตฟอร์ม ใช้ XRP เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนระหว่าง 2 สกุลเงินหรือเครือข่าย มีบทบาทในกลไกการชำระราคาแบบชั่วคราว วิธีได้ XRP ซื้อ/ขาย XRP ด้วย Fiat Bitget รองรับคริปโทเคอร์เรนซีที่หลากหลาย ซึ่งสามารถซื้อได้ผ่านบัตรเครดิต/เดบิต และแพลตฟอร์มบุคคลที่สามอย่าง Alchemy Pay, Simplex และ Banxa โดยมี Ripple (XRP) เป็นน้องใหม่สุดที่เข้ามาร่วมรายการผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายของ Bitget นี้ เสริมทัพสินทรัพย์อย่าง Tether (USDT), Bitcoin (BTC) และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งหมายความว่าขณะนี้คุณสามารถซื้อ XRP บน Bitget ได้ด้วยมากกว่า 140 สกุลเงิน ซึ่งรวมไปถึงดอลลาร์สหรัฐ (USD), ยูโร (EUR), ปอนด์อังกฤษ (GBP) และดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ที่เกี่ยวข้อง: ซื้อ Ripple (XRP) แบบราบรื่นไม่มีสะดุดโดยใช้เงิน Fiat เทรด XRP ในตลาด Bitget Spot และ Futures ตลาด Futures XRPUSDT ตลาด Spot XRP/USDT XRP/USDC USD Coin (USDC): คู่ท้าชิงศึก Stablecoin ภาพรวม อันดับ 6 ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดที่ US$26,105,544,669 เศรษฐศาสตร์ของโทเค็น: USDC เป็น Stablecoin ซึ่งตรึงมูลค่าไว้กับดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 และมีทุนสำรองที่ได้รับการตรวจสอบเป็นประจำ ข้อได้เปรียบ: USDC ให้เสถียรภาพและอำนวยความสะดวกในการแปลงระหว่างคริปโทเคอร์เรนซีกับ Fiat เช่นเดียวกับ USDT All Time High (ATH) และ All Time Low (ATL): US$1.17 (พ.ค. 2019) และ US$0.877 (มี.ค. 2023) USD Coin (USDC) เป็น USD Stablecoin ที่ออกโดย CENTRE ซึ่งเป็นกิจการค้าร่วม (Consortium) ที่ก่อตั้งโดย Coinbase และ Circle โดยตรึงมูลค่าไว้กับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อัตราส่วน 1:1 ด้วยการใช้สกุลเงิน Fiat และสินค้าโภคภัณฑ์ หมายความว่า 1 USDC จะเท่ากับ 1 USD USDC เปิดตัวครั้งแรกในฐานะโทเค็น ERC-20 ในปี 2018 และได้ขยายไปยังแพลตฟอร์มหลักอื่นๆ นับตั้งแต่นั้นมา ปี 2021 เป็นปีที่ยิ่งใหญ่สำหรับ Stablecoin เนื่องจาก VISA เริ่มรับการชำระเงินด้วย USDC วิธีได้ USDC จากหน้าแรกของ Bitget ให้เลือก “ซื้อคริปโต / Buy Crypto” เพื่อซื้อและขาย USDC ด้วยสกุลเงิน Fiat ท้องถิ่นของคุณ ซึ่งรวมไปถึงด้วยช่องทางผู้ให้บริการการชำระเงินผ่านบุคคลที่สาม, ตลาด P2P และบัตรเครดิต/เดบิตบน Bitget ได้ตลอดเวลา ที่เกี่ยวข้อง: คู่มือซื้อ USDC ด้วย Fiat บน Bitget Lido Staked Ether (STETH): โซลูชันการ Stake ของ Ethereum ภาพรวม อันดับ 7 ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดที่ US$14,532,706,519 เศรษฐศาสตร์ของโทเค็น: STETH ไม่มีจำนวนอุปทานทั้งหมด ข้อได้เปรียบ: STETH ช่วยให้ผู้ถือมีส่วนร่วมในการ Stake ได้โดยไม่จำเป็นต้องจัดการด้านเทคนิคด้วยตนเอง All Time High (ATH) และ All Time Low (ATL): US$4,829.57 (พ.ย. 2021) และ US$482.90 (ธ.ค. 2020) Lido เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยจากสินทรัพย์ดิจิทัลของตนโดยการ Stake ในขณะที่ยังคงมีสภาพคล่องเพื่อการใช้งานในแอปพลิเคชัน DeFi อื่นๆ เปิดตัวครั้งแรกบน Ethereum ในปี 2020 โดยอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถ Stake ETH เพื่อรับ STETH ได้ ซึ่งเป็นโทเค็นที่เป็นตัวแทนของ ETH ซึ่ง Stake ไว้ใน Lido ไม่เพียง STETH จะแสดงถึงมูลค่าของ ETH ที่ Stake ไว้และรางวัลจากการ Stake เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดผ่านการวางเป็นหลักประกัน, การให้กู้ยืม, Yield Farming และโปรโตคอล DeFi อื่นๆ ได้อีกด้วย หากต้องการลงทุนใน Lido Staked Ether (STETH) ก็สามารถใช้เวลาเพียง 2 นาทีในการสร้างบัญชีที่ Bitget แล้วเริ่มเทรด STETH ได้เลย! Dogecoin (DOGE): มีมที่กลายมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ ภาพรวม อันดับ 8 ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดที่ US$9,291,669,070 เศรษฐศาสตร์ของโทเค็น: ไม่มีอุปทานสูงสุด ข้อได้เปรียบ: ชุมชนที่กระตือรือร้น ค่าธรรมเนียมต่ำ และการนำไปใช้งานผ่านการให้ทิปและการกุศล All Time High (ATH) และ All Time Low (ATL): US$0.731 (พ.ค. 2021) และ US$0.0000869 (พ.ค. 2015) Dogecoin (DOGE) เป็นคริปโทเคอร์เรนซีสาธารณะที่สร้างขึ้นโดยวิศวกรซอฟต์แวร์ Billy Marcus และ Jackson Palmer เพื่อเป็นมุกตลกอารมณ์ดีที่ล้อเลียนการเก็งกำไรคริปโต เปิดตัวในปี 2013 และถือกันว่าเป็น “Memecoin” เจ้าแรกของโลก แม้จะมีต้นกำเนิดแบบขำขัน แต่ Dogecoin กลับมีกรณีการนำไปใช้งานมากกว่าคริปโตส่วนใหญ่เสียอีก โดยนอกจากจะมีการนำไปใช้งานเป็นวิธีการชำระเงินในที่ต่างๆ ทั่วโลกแล้ว ยังมักใช้เป็นทิปสำหรับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ทางออนไลน์และในการบริจาคให้การกุศลอีกด้วย Dogecoin ได้รับความนิยมและมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากที่ Elon Musk ได้ทวีตข้อความเกี่ยวกับเหรียญดังกล่าวบนบัญชีส่วนตัวอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงกล่าวว่ามีแผนจะใช้ DOGE มาชำระเป็นค่าใช้จ่ายในภารกิจของ SpaceX ด้วย เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Dogecoin (DOGE) Dogecoin (DOGE) คืออะไร | Dogeday คืออะไร วิธีได้ DOGE หากต้องการลงทุนใน Dogecoin (DOGE) หนึ่งในขั้นตอนแรกๆ ที่สามารถทำได้คือการซื้อคริปโต Bitget มาพร้อมตัวเลือกที่หลากหลาย เช่น การซื้อคริปโตผ่านบัตรเครดิต/เดบิต, การโอนผ่านธนาคาร, การเทรดแบบ Peer-to-Peer หรือแม้แต่การซื้อแบบต่อหน้า เมื่อได้คริปโตมาแล้ว ก็สามารถเริ่มเทรด DOGE บน Bitget ได้เลย! ตลาด Futures DOGEUSDT ตลาด Spot DOGEUSDT DOGEUSDC DOGEBTC Cardano (ADA): บล็อกเชนแบบ Peer-Reviewed ภาพรวม อันดับ 9 ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดที่ US$9,212,030,431 เศรษฐศาสตร์ของโทเค็น: อุปทานกำหนดไว้ที่ 4.5 หมื่นล้าน ADA ข้อได้เปรียบ: Cardano มีเป้าหมายที่จะมอบแพลตฟอร์มที่ยั่งยืนและขยายการรองรับได้ยิ่งขึ้นสำหรับ Smart Contract และ DApp All Time High (ATH) และ All Time Low (ATL): US$3.09 (ก.ย. 2021) และ US$0.01925 (มี.ค. 2020) Cardano เป็นบล็อกเชนรุ่นที่ 3 ซึ่งใช้กลไกฉันทามติ Proof of Stake (PoS) ถือกำเนิดขึ้นในปี 2015 โดย Charles Hoskinson ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ซึ่งได้ออกจากโปรเจกต์มาด้วยความตั้งใจที่จะพัฒนาข้อด้อยของ Ethereum และสร้างเครือข่ายแบบกระจายศูนย์ที่มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น หลังจากผ่านช่วง ICO ในปี 2015 ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากไปได้ 2 ปี ก็ได้มีการปล่อย Cardano Mainnet ออกมา ณ เวลาที่เขียนบทความ Cardano รองรับการนำไปใช้งานและแอปพลิเคชันที่หลากหลาย เช่น Smart Contract, DeFi, Internet of Thing และ NFT วิธีได้ ADA หากต้องการลงทุนใน Cardano (ADA) ก็สามารถใช้เวลาเพียง 2 นาทีในการสร้างบัญชีที่ Bitget แล้วเริ่มเทรด ADA ได้เลย ตลาด Futures ADAUSDT ตลาด Spot ADAUSDT ADAUSDC Solana (SOL): เร็วฉิวกว่าใคร ภาพรวม อันดับ 10 ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดที่ US$8,314,995,031 เศรษฐศาสตร์ของโทเค็น: ไม่ได้กำหนดขีดจำกัดอุปทานไว้ ข้อได้เปรียบ: ความสามารถในการรับส่งข้อมูล (Throughput) สูงและการทำธุรกรรมที่รวดเร็วสำหรับ DeFi และ DApp All Time High (ATH) และ All Time Low (ATL): US$259.96 (พ.ย. 2021) และ US$0.5008 (พ.ค. 2020) Solana เป็นบล็อกเชนที่กำลังมาแรงซึ่งเปิดตัวในปี 2017 และเปิดตัว Mainnet ในปี 2020 โดยมุ่งหวังที่จะแข่งขันกับ Ethereum เป็นโอเพนซอร์สและมีความสามารถในการขยายการรองรับ ดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ Wallet ของ Solana ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ Phantom มีจำนวนผู้ใช้ที่แอคทีฟเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าจาก 200,000 รายในเดือนสิงหาคม 2021 ไปเป็น 1.2 ล้านรายในเดือนตุลาคม 2021 สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่านั้นคือการมี TVL ที่เพิ่มขึ้นจาก 135.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนเมษายน 2021 ไปเป็น 1.014 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนตุลาคม 2021 หลังจากผ่านไปเพียงปีเดียว Solana ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบล็อกเชนที่โดดเด่นที่สุดในโลกที่มีมูลค่าสินทรัพย์ที่ล็อกไว้กับระบบ (Total Value Locked: TVL) สูงที่สุด การบรรลุหมุดหมายอันน่าทึ่งดังกล่าวก็เนื่องด้วยการใช้กลไก Proof of History (PoH) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งคิดค้นโดยผู้ก่อตั้ง Anatoly Yakovenko ช่วยให้ความสามารถในการรับส่งข้อมูล (Throughput) นั้นมีประสิทธิภาพโดยไม่จำเป็นต้องใช้โซลูชันการขยายการรองรับเพิ่มเติม วิธีได้ SOL หากต้องการลงทุนใน Solana (SOL) ก็สามารถใช้เวลาเพียง 2 นาทีในการสร้างบัญชีที่ Bitget แล้วเริ่มเทรด SOL ได้เลย! ตลาด Futures SOLUSDT ตลาด Spot SOL/USDT SOL/USDC แม้คริปโทเคอร์เรนซีเหล่านี้จะรักษาอันดับเอาไว้ได้อย่างแข็งแกร่งด้วยมูลค่าตามราคาตลาด แต่ลักษณะของโลกคริปโตที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งก็หมายความว่าอันดับดังกล่าวสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว Bitget สนับสนุนให้ผู้ใช้ของเราศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอและติดตามข่าวสารให้ทันเทรนด์ตลาดล่าสุดอยู่ตลอด คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคริปโต คริปโทเคอร์เรนซีคืออะไร “คริปโทเคอร์เรนซี” บางครั้งเรียกกันสั้นๆ ว่า “คริปโต” เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้ Cryptography (วิทยาการเข้ารหัสลับ) คริปโทเคอร์เรนซีส่วนใหญ่มีลักษณะกระจายศูนย์ หมายความว่าไม่มีหน่วยงานที่มีอำนาจส่วนกลางในการออกหรือตรวจสอบยืนยันธุรกรรม ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์ในด้านความเป็นส่วนตัวและลดต้นทุนธุรกรรมลงได้ โทเค็นคริปโต เทียบกับ เหรียญ ต่างกันอย่างไร เช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่าง คริปโทเคอร์เรนซีสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทและหลายกลุ่มตามมาตรฐานในรูปแบบต่างๆ เหรียญกับโทเค็นเป็น 2 หมวดหมู่ที่พบเห็นได้แพร่หลายที่สุด เหรียญคริปโตเป็นสกุลเงินดั้งเดิมของบล็อกเชนของตัวเอง เช่น BTC มีต้นกำเนิดดั้งเดิมจากบล็อกเชน Bitcoin เช่นเดียวกับที่ ETH มีต้นกำเนิดดั้งเดิมมาจากบล็อกเชน Ethereum เหรียญเหล่านี้สามารถโอนและใช้งานได้เหมือนกับสกุลเงินทั่วไป แต่หน้าที่ที่สำคัญที่สุดที่เหรียญเหล่านี้มีคือการใช้ชำระค่าธรรมเนียม Gas เหรียญเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยนักขุดหรือผู้ที่เป็น Validator ในระหว่างกระบวนการขุดหรือการตรวจสอบความถูกต้อง และไม่ได้ถูกควบคุมโดยหน่วยงานกลางใดๆ โทเค็นคริปโตคล้ายคลึงกับเหรียญ แต่จะสร้างขึ้นบนบล็อกเชนที่มีอยู่และมีฟังก์ชันที่หลากหลายมากกว่า โดยสามารถเป็นได้ดังนี้: - Stablecoin เช่น USDT/USDC ที่ตรึงมูลค่าไว้กับสินทรัพย์ในโลกความเป็นจริง - Utility Token เช่น ARB ที่ให้การเข้าถึงหรืออำนาจแก่ผู้ถือ - Non-Fungible Token (NFT) เช่น BAYC ที่กระจายความโดดเด่นของผู้ถือไปทั่วทั้งเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ก เพียงแค่สร้างบัญชี แล้วเริ่มสำรวจ Bitget-Verse ที่น่าทึ่งวันนี้เลย! ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ขอแนะนำให้คุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนทำการตัดสินใจใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน อันดับที่กล่าวถึงในบทความนี้อิงตามข้อมูลจาก CoinGecko ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2023 และอาจมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป

9 เหตุผลว่าทำไม Bitcoin จะไปถึง US$100,000 ในปี 2023

Bitcoin เป็นที่พูดถึงกันอย่างมากในโลกการเงินมาระยะหนึ่งแล้ว สกุลเงินดิจิทัลกระจายศูนย์นี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา Bitcoin ถูกสร้างขึ้นในปี 2009 โดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งไม่เปิดเผยตัวตนที่ใช้ชื่อว่า Satoshi Nakamoto นับตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้น Bitcoin ได้ผ่านทั้งช่วงขาขึ้นและขาลงมาแล้วหลายครั้ง (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่) แต่ก็ยังคงอยู่ในกระแสได้เสมอมา และปัจจุบันก็ได้รับการจัดเป็นกลุ่มสินทรัพย์อย่างจริงจัง บทความนี้จะพาไปดู 9 เหตุผลว่าทำไม Bitcoin จะไปถึง US$100,000 ในปี 2023 (ไม่เรียงลำดับ) กลุ่มสถาบันเข้ามาใช้งาน กลุ่มสถาบันเข้ามาใช้งาน Bitcoin เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเห็นศักยภาพของ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์เพื่อการลงทุน บริษัทอย่าง MicroStrategy, Tesla และ Square ได้ลงทุนใน Bitcoin ไปแล้วหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงมีแนวโน้มว่าเทรนด์นี้จะยังคงอยู่ต่อไปในอนาคต ซึ่งจะผลักดันให้มีความต้องการ Bitcoin เพิ่มขึ้นและผลักดันราคาให้สูงขึ้น อุปทานจำกัด Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีความหายาก (Scarce Asset) ซึ่งหมายความว่ามีอุปทานในจำนวนที่จำกัด โดยจะมีอยู่เพียง 21 ล้าน Bitcoin ซึ่งปัจจุบันก็มีหมุนเวียนอยู่ในระบบเกินครึ่งไปแล้ว ดังนั้นเนื่องจากอุปทานของ Bitcoin เริ่มหายากขึ้น จึงมีแนวโน้มที่ราคาจะสูงขึ้นตามไปด้วย อีเวนต์ Halving อีเวนต์ Halving ของ Bitcoin เกิดขึ้นทุก 4 ปี ซึ่งเป็นการลดรางวัลบล็อกที่ให้กับนักขุดลงครึ่งหนึ่ง อีเวนต์นี้ช่วยลดอุปทานของ Bitcoin ใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดลง จึงสามารถผลักดันราคาของ Bitcoin ขึ้นได้ การใช้งานที่เพิ่มขึ้น คนทั่วไปเข้าถึง Bitcoin ได้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนและ Wallet เกิดขึ้นมากขึ้นทุกวัน แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน Bitget ก็เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา Bitget ให้บริการคู่เทรดมากมายและหลากหลายฟีเจอร์ จึงทำให้ผู้คนซื้อและขาย Bitcoin ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ สร้างบัญชี แล้วเริ่ม เทรด Bitcoin (BTC) วันนี้เลย ! ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลก ระบบเศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะไม่แน่นอนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความไม่แน่นอนนี้ทำให้หลายคนมองหาการลงทุนทางเลือก เช่น Bitcoin หากเศรษฐกิจโลกยังคงไม่แน่นอนต่อไป ก็มีแนวโน้มว่าจะมีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่จะหันมามอง Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven Asset) ซึ่งจะผลักดันให้มีราคาสูงขึ้น การกำกับดูแลที่เพิ่มขึ้น การกำกับดูแล Bitcoin เป็นประเด็นร้อนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บางประเทศได้เริ่มกำกับดูแล Bitcoin แล้ว และมีแนวโน้มว่าจะมีอีกหลายประเทศตามมา การกำกับดูแลที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้จะทำให้ Bitcoin มีความชอบด้วยกฎหมายมากขึ้นในสายตาของนักลงทุน ซึ่งจะผลักดันให้มีราคาสูงขึ้น การกระจายศูนย์ Bitcoin เป็นสกุลเงินแบบกระจายศูนย์ ซึ่งหมายความว่าไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือสถาบันการเงินใดๆ ลักษณะที่กระจายศูนย์เช่นนี้ทำให้ Bitcoin น่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่กังวลเกี่ยวกับการควบคุมของรัฐบาลและสถาบันการเงิน อานุภาพของเครือข่าย Bitcoin แสดงให้เห็นอานุภาพของเครือข่ายอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหมายความว่ายิ่งมีคนใช้งานมาก ก็ยิ่งมีมูลค่ามาก เมื่อผู้คนหันมาใช้งาน Bitcoin มากขึ้น มูลค่าก็จะเพิ่มขึ้นตาม ทำให้เป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้ใหม่ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี Bitcoin ใช้เทคโนโลยี บล็อกเชนซึ่งมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น Bitcoin ก็จะมีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น ทำให้เป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับนักลงทุน หากยังคงมีข้อสงสัยว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา Bitcoin, โมเดลการประเมินมูลค่า และการใช้งานอย่างกว้างขวางของ Bitcoin นั้นสะท้อนให้เห็นในราคาของเหรียญดังกล่าวอย่างไรบ้าง สามารถค้นหาคำตอบได้ที่นี่: Bitcoin 101: มูลค่าและราคาของ Bitcoin เมื่อผู้คนจำนวนมากขึ้นตระหนักถึงศักยภาพของ Bitcoin ก็มีแนวโน้มว่าจะยิ่งทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปอีก ในฐานะที่เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนอนุพันธ์คริปโตชั้นนำ Bitget จึงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาปรัชญาการออกแบบผลิตภัณฑ์ของเราให้ดีที่สุด และที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าอยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือนักลงทุนมากประสบการณ์ แพลตฟอร์ม Bitget ก็มีตัวเลือกที่ลงตัวให้คุณได้ลงทุนใน Bitcoin เสมอ ข้อสงวนสิทธิ์ ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

ขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ — แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

สรุปใจความสำคัญ • การขยายเพดานหนี้ไม่ได้มีอิทธิพลต่อตลาดทุนมากเท่าไรนัก • สภาพคล่องที่ลดน้อยลงและทัศนคติของหน่วยงานกำกับดูแลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อคริปโต ส่งผลให้สหรัฐอเมริกามีแนวโน้มที่จะล้าหลังในด้านเทคโนโลยีและการเมือง • ฮ่องกงและยูโรโซน (Eurozone) คือ ผู้นำในกลุ่มประเทศที่กำลังแข่งขันเพื่อเป็นศูนย์กลางคริปโตระดับโลกที่มีการกำกับดูแลที่เหมาะสม นโยบายการเงิน: มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing: QE) และนโยบายการเงินแบบหดตัว (Quantitative Tightening: QT) ก่อนที่จะเข้าเรื่องหลัก เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจคำว่า มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing: QE) และนโยบายการเงินแบบหดตัว (Quantitative Tightening: QT) กันก่อน เพราะบทความต่อไปนี้เขียนขี้นโดยอิงจากพื้นฐานของนโยบายการเงินดังกล่าวเป็นหลัก อย่างที่เราทราบกันว่า ธนาคารกลางมีหน้าที่รักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับปกติที่ 2% ดังนั้น ทุกๆ ครั้งที่ภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้น ธนาคารกลางจะใช้นโยบาย QE หรือ QT เพื่อควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในระบบขึ้นนั่นเอง “คริปโต” ที่เพิ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตลาดการเงินโลก ก็ตอบสนองต่อนโยบายเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน โดยความต้องการของนักลงทุนจะเปลี่ยนไปตามการปรับปริมาณเงินในระบบ กล่าวคือ หากนักลงทุนเห็นว่าการเข้าถึงเงินสำรองถูกจำกัด พวกเขาอาจลดปริมาณการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงในพอร์ตของตน เพื่อลดโอกาสเกิดการขาดทุน และในทำนองเดียวกัน หากนักลงทุนสามารถเข้าถึงเงินสำรองได้มากขึ้น พวกเขาก็จะกล้าลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเช่นกัน สถานการณ์แรกซึ่งเรียกว่า “QT” จะเกิดขึ้นเมื่อธนาคารกลางขึ้นอัตราดอกเบี้ยและขจัดสภาพคล่องออกจากตลาด อีกสถานการณ์ที่ตรงข้ามกับ QT คือ “QE” ซึ่งการใช้นโยบาย QE ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (The Federal Reserve: FED) ใช้นโยบายนี้หลังจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (The Great Recession) โดย FED คงระดับอัตราดอกเบี้ย (The Federal-Funds Rate) ไว้ต่ำกว่า 2% ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2008 จนถึงกันยายน 2018 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย (หรือ การบริโภค) ในระบบ ส่วนในยูโรโซน อัตราดอกเบี้ย 0% เริ่มต้นโดย Mario Draghi อดีตหัวหน้าธนาคารกลางยุโรป ( European Central Bank: ECB) ในปี 2016 เพื่อตอบสนองต่อภาวะเงินฝืดของกลุ่มประเทศในยูโรโซน งบดุลและสภาพคล่องของ FED จากข้อมูลของ Google Trends ระบุว่า จำนวนการค้นหาคำว่า 'Debt Ceiling' และ 'Debt Limit' (หมายความถึง “เพดานหนี้”) ในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคม 2023 อยู่ที่ 58 ครั้งต่อวันโดยเฉลี่ย ซึ่งถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับระดับการเปิดรับสื่อของผู้คนในปัจจุบัน แนวคิดที่ว่าสหรัฐฯ อาจผิดนัดชำระหนี้ได้ อาจฟังดูน่าสนใจอย่างน่าประหลาด แต่ผลที่ตามมานั้นกลับน่ากลัวและส่งผลกระทบต่อทั่วทั้งโลกได้ จนถึงขั้นที่สามารถพูดได้ว่า มีโอกาสค่อนข้างต่ำที่เหตุการณ์ดังกล่าวจะสามารถเกิดขึ้นได้ ในปัจจุบัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร (House Speaker) และประธานาธิบดี (President) จับมือกันเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น FUD ที่เกิดขึ้น — ความกลัว ความลังเล และความสงสัย — จึงหายไปในที่สุด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังระยะสั้นลดลงอย่างมาก (ดูกราฟด้านล่าง) หมายความว่านักลงทุนเริ่มกลับมาเชื่อมั่นในการลงทุนกับตราสารหนี้มากขึ้น ตลาดหุ้นต่างยินดีกับ “การดำเนินการอย่างเป็นทางการ” ของข้อตกลงข้างต้น เนื่องจากดัชนี SP 500 พุ่งขึ้น 2.48% (เมื่อปิดตลาดในวันที่ 6 มิถุนายน 2023) จาก 4,179.83 ในวันที่ 31 พฤษภาคม และดัชนี NASDAQ Composite เพิ่มสูงขึ้นเป็น 13,276.42 (+2.64% ) ในขณะที่ Bitcoin สูญเสียมูลค่าไป 0.6% ในช่วงเวลาเดียวกัน การขยายเพดานหนี้ของประเทศเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แม้ว่าเราจะโชคดีที่ไม่ต้องพบกับจุดจบทางการเงิน แต่ผลที่ตามมาในระยะยาวต่อตลาดทุนก็ยังต้องได้รับการพิจารณาอยู่เช่นเดิม ตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา เพดานหนี้ของสหรัฐฯ ได้ถูก “เพิ่มอย่างถาวร ขยายชั่วคราว หรือปรับใหม่” ถึง 78 ครั้ง ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจของอำนาจการกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม 2023 มูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดของ FED อยู่ที่ 8,385,854 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเกือบสองเท่าของมูลค่าสินทรัพย์ในช่วงก่อนโควิด (มีนาคม 2020) การขยายเพดานหนี้ของประเทศสามารถบ่งชี้ได้ว่า FED มีแนวโน้มที่จะลดงบดุลของประเทศต่อไป และ QT จะดำเนินต่อไป โดย 1 ใน 3 ของผู้เข้าร่วมในตลาดคาดการณ์ว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกไตรมาสหนึ่งในเดือนมิถุนายน 2023 ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องของตลาดลดลงอีก อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากข้อมูลในสื่อและการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญแล้ว เราก็ยังต้องให้ความสำคัญกับเป้าหมายในการดำเนินนโยบายทางการเงิน 2 ประการของ FED (Dual Mandate) คือ “เสถียรภาพของราคา (Stable Stability) และระดับการจ้างงานเต็มที่ (Maximum Exployment)” ด้วยเช่นกัน นี่คือบทสรุปของการบริโภคและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ นับตั้งแต่เริ่มเฟส QT ใหม่ในเดือนเมษายน 2022 พบว่าอัตราเงินเฟ้อลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 อย่างไรก็ตาม ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อที่ “แม่นยำกว่า” ที่เรียกว่า “Core CPI” หรืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่รวมถึงสินค้าประเภทอาหารและพลังงาน) ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญใด ทำให้สถานการณ์การจ้างงานยังคงเป็นไปในเชิงบวก และแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบถัดไปมีความสมเหตุสมผล คริปโตถือเป็นหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าวิกฤติสินเชื่อตึงตัว (Credit Crunch) อาจไม่ร้ายแรงเท่าไรสำหรับตลาดคริปโต แต่ทัศนคติอันไม่เป็นมิตรของทางการสหรัฐฯ ที่มีต่อคริปโตก็ยังทำให้อุตสาหกรรมนี้ได้รับความเสี่ยงและผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่อยู่ดี ประการแรก คือ ดอลลาร์สหรัฐ (US Dollar) เป็นสกุลเงิน Fiat ที่มีการเทรดกับคริปโตมากที่สุด และมูลค่าตามราคาตลาดของ Stablecoin ที่ตรึงไว้กับ USD นั้นก็ไม่อาจทำลายลงได้ นอกจากนี้ ความยุ่งยากในการใช้งาน On-/Off Ramp ก็ยังส่งผลต่อการนำคริปโตไปใช้งานในวงกว้าง รวมถึงปัญหาต่อระบบนิเวศของคริปโตสตาร์ทอัพ ซึ่งกำลังถูกจับตามองอย่างเข้มงวดในสหรัฐอเมริกา หาก Coinbase ยอมแพ้ในการต่อสู้กับข้อกล่าวหาด้านกฎระเบียบที่กำลังดำเนินอยู่ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2023 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้อง Binance, Binance.US และ Changpeng Zhao CEO ของ Binance แน่นอนว่าข่าวนี้หมายถึง “ช่วงราคาร่วง” สำหรับคริปโต แต่เนื่องจากขนาดของ Binance.US นั้นเล็กกว่า Binance เป็นอย่างมาก เราจึงเชื่อว่าคริปโตจะยังคงอยู่รอดต่อไปได้แม้ไม่มี Binance เช่นเดียวกับหลังจากเหตุการณ์ที่ Mt. Gox โดนแฮ็ก ยิ่งไปกว่านั้น ก.ล.ต. ได้กำหนดให้โทเค็นอย่างน้อย 10 รายการเป็นหลักทรัพย์: SOL, ADA, MATIC, FIL, ATOM, SAND, MANA, ALGO, AXS และ COTI และการยื่นฟ้อง Coinbase ด้วยข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับ “การเสนอขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ลงทะเบียน” ผ่านโปรแกรมการ Stake และ “การดำเนินธุรกิจในฐานะโบรกเกอร์โดยที่ไม่ได้ลงทะเบียน” สำหรับ Coinbase Wallet— ตามคำนิยามของ Non-Custodial Wallet หาก Coinbase เลือกที่จะยุติคดีโดยไม่มีการโต้แย้งกลับ เหตุการณ์นี้ก็จะกลายเป็นกรณีตัวอย่างที่น่าหวั่นใจสำหรับคดีใดๆ ในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับคริปโต ยังมีโอกาสให้แก้ต่างอีกมากสำหรับคริปโต สหรัฐฯ อาจใช้แนวทางที่รุนแรงเพื่อจัดการกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคริปโต แต่ประเทศและภูมิภาคอื่นๆ กลับอ้าแขน รับคริปโตเป็นอย่างมากเลยทีเดียว หากยุคบ้านป่าเมืองเถื่อนสิ้นสุดลง ก็เท่ากับโอกาสในการปกป้องผู้ใช้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมส่งเสริมโลกดิจิทัลทั้งหมดอย่างเป็นทางการเพื่อการทดลองและเติบโตอย่างยั่งยืน เอเชีย เทคโนโลยีบล็อกเชนคือแกนหลักของคริปโต และการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อหลายภาคส่วน ตั้งแต่การท่องเที่ยว, ความบันเทิง, การศึกษา, การกีฬา, โซเชียลมีเดีย และการดูแลสุขภาพ ไปจนถึงการเงินและความเป็นส่วนตัว ดังนั้น หลายประเทศและภูมิภาค เช่น สหราชอาณาจักร ฮ่องกง และสิงคโปร์ จึงวางตำแหน่งตัวเองเป็นศูนย์กลางคริปโตระดับโลกแห่งใหม่ อย่างไรก็ดี ประเทศที่ทำให้เรามองเห็นถึงความทะเยอทะยานอันแรงกล้าในการเป็นบ้านหลังใหม่สำหรับบริษัทคริปโต คือ “ฮ่องกง” ซึ่งได้เปิดตัวใบอนุญาตสำหรับผู้ให้บริการสินทรัพย์เสมือน (VASPs) ก่อนที่จะอนุญาตให้ผู้ใช้รายย่อยเข้าถึงการเทรดคริปโตได้ไปเมื่อไม่นานนี้ นอกจากนั้น ฮ่องกงยังได้เลือก Ripple เพื่อเปิดตัวนำร่องสำหรับ e-HKD ด้วยเช่นกัน ย้อนกลับไปในช่วงสุดท้ายของปี 2022 คริปโต ETF รายการแรกในภูมิภาคเอเชียได้เปิดตัวขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และในเดือนเมษายน 2023 สำนักงานเลขาธิการการเงินฮ่องกง (Hong Kong Financial Secretary Office) ก็ได้ประกาศให้เงินช่วยเหลือ 500 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงแก่ Cyberport เพื่อสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศ Web3 ในฮ่องกงอีกด้วย ในทางกลับกัน แผนของสิงคโปร์คือการมุ่งเป้าไปที่ธุรกิจองค์กรและสถาบันคริปโตมากกว่าผู้ใช้รายย่อย นอกจากนี้ “DBS” ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในแง่ของสินทรัพย์ ก็ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มสำหรับการเทรด DDEx ของผู้ใช้คริปโตระดับสถาบันไปในเดือนธันวาคม 2020 สินทรัพย์คริปโต 6 รายการที่มีให้เทรดที่นี่ ได้แก่ BTC, ETH, XRP, BCH, DOT และ ADA หลังจากนั้น 1 ปี ธนาคารดังกล่าวได้เข้าสู่ Metaverse ผ่านการจับมือเป็นพันธมิตรกับ The Sandbox ในปัจจุบัน รัสเซียเป็นประเทศที่มีการขุดคริปโตที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งรัสเซียต้องการใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบนี้ โดยใช้งานคริปโตในข้อตกลงสำหรับการส่งออกและนำเข้า หากข้อตกลงและการเรียกเก็บเงินนั้นเป็นไปตามกฎหมาย ก็จะส่งผลต่อความต้องการคริปโทเคอร์เรนซีแบบ PoW โดยเฉพาะ Bitcoin และทำให้ราคาสินทรัพย์เหล่านั้นสูงขึ้น ยูโรโซนและสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2023 รัฐสภายุโรป (European Parliament) ได้ผ่านร่างกฎหมาย “Markets in Crypto-Assets (MiCA)” ซึ่งจะมีผลในไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 ประเด็นหลักของ MiCA นั้นเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการผู้ให้บริการสินทรัพย์คริปโต (CASPs) ซึ่งรวมถึงบริษัทที่ให้บริการคริปโตและผลิตภัณฑ์คริปโตด้านต่างๆ ทั้งหมด แม้ว่าบริษัทเหล่านั้นจะไม่ได้เป็นผู้ออกโทเค็นก็ตาม อีกทั้งยังมีกฎสำหรับ Stablecoin ที่เข้มงวดมากขึ้น โดยมีไว้เพื่อป้องกันความผิดพลาดและล้มเหลวของอุตสาหกรรม เช่น การล่มสลายของ Terra (LUNA) อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์หลายคนกลับให้ความเห็นว่า กฎเหล่านี้อาจไปยับยั้งการเติบโตของสกุลเงินที่ไม่ใช่ของรัฐบาลได้ และอีกประเด็นที่สำคัญ คือ MiCA ไม่ได้มีกฎครอบคลุมถึง NFTs และการกู้ยืมคริปโตแต่อย่างใด สกุลเงินอ้างอิงที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 สำหรับ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่าไว้กับเงิน Fiat คือ สกุลเงินยูโร (Euro) ภายใน 5 เดือนแรกของปี 2023 อุปทานหมุนเวียนของ USDT (TetherUSD) เพิ่มขึ้น 25.6%, EURT (TetherEuro) 0.2% และ EUROC (CircleEuro) 93.6% ในขณะเดียวกัน อุปทาน USDC (CircleUSD) กลับลดลง 34.9% มูลค่าตามราคาตลาดของ USDT และ USDC รวมกันนั้นเพิ่มขึ้น 1.2% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยกว่ามูลค่าตามราคาตลาดที่สูงขึ้นของ EURT รวมกับ EUROC ซึ่งอยู่ที่ 10.8% นอกจากนี้ ปริมาณของ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่าไว้กับสกุลเงินยูโรยังแสดงแนวโน้มขาขึ้นให้เห็นอีกด้วย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 HM Treasury ได้เผยแพร่ข้อเสนอสำหรับการกำกับดูแลคริปโตและการขอคำปรึกษา ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเปิดรับคริปโตของนายกรัฐมนตรี Rishi Sunak เพื่อให้สหราชอาณาจักรเป็นส่วนหนึ่งในแวดวงคริปโต โดยเป็นก้าวสำคัญที่ต่อเนื่องมาจาก “Edinburgh Reform” ที่ให้ความสำคัญกับ Fintech และนวัตกรรม เรามาพิจารณาสภาพแวดล้อมระดับมหภาคของภูมิภาคเหล่านี้กันสักครู่ ด้านล่างคือกราฟที่แสดงอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนและสหราชอาณาจักร นับตั้งแต่ ECB เริ่มใช้ QT ในเดือนเมษายน 2022 อัตราเงินเฟ้อในสหภาพยุโรป (HICP) ได้ลดลงเหลือเพียง 2% ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (The Bank of England: BoE) ยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งส่งผลให้เส้นอัตราเงินเฟ้อ (CPIH) ใกล้เคียงกับของสหภาพยุโรป แต่มีความลาดเอียงลงน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เราอาจคาดการณ์ได้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก BoE นั้นจะยังคงยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม ECB จะต้องคำนวณกระบวนการ QT ใหม่อีกครั้งหลังจากมีเศรษฐกิจถดถอยลงในช่วง 2 ไตรมาส ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ความพยายามสร้างกรอบการกำกับดูแลที่มีความครอบคลุมมากขึ้นกว่าเดิมของสหภาพยุโรปและหน่วยงานของสหราชอาณาจักรนั้นย่อมทำให้ตลาดคริปโตมีความคึกคักมากขึ้นในพื้นที่เหล่านี้ได้อย่างแน่นอน CBDC และสินทรัพย์ที่ผ่านการ Tokenized สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency: CBDC) เป็นเทรนด์ที่พวกเราทุกคนต้องพบเจอ ประเทศกว่า 114 ประเทศกำลังเริ่มใช้ CBDC โดยประเทศจีนเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในช่วงเริ่มต้นมากที่สุด เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2023 Ripple ได้ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ “Ripple CBDC” ซึ่งเป็น “โซลูชัน” ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อการชำระราคาและชำระเงินในทันทีผ่านการใช้ CBDC และแน่นอนว่าจะมีผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เราได้เห็นความคืบหน้าเมื่อ CBDC ได้เปิดประตูสู่โลกของสินทรัพย์ที่ผ่านการ Tokenized ซึ่งเป็นไปตามการกำกับดูแล เช่น ตราสารหนี้ หลักทรัพย์ และการจำนอง ส่วนภารกิจของ DeFi คือการสร้างนวัตกรรม (เช่น Liquid Staking Derivative) และพัฒนาระบบการเงินแบบดั้งเดิมด้วยการทำธุรกรรมแบบไม่ต้องอาศัยการอนุญาต (Permissionless) และไม่ต้องอาศัยความไว้วางใจ (Trustless) ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป นักลงทุนทั่วโลกจะสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ดั้งเดิมต่างๆ ได้อย่างง่ายดายด้วย CBDC คริปโตลอยตัวเหนือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น Bitcoin เกิดขึ้นในฐานะ “เงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Peer-to-Peer” และจะยังคงเป็นกลางไปตลอด (นั่นคือถ้า Satoshi Nakamoto ไม่ปรากฏตัวอีกเลย) นอกเหนือจากการเก็งกำไรที่ในปริมาณมากและแนวทางการใช้ประโยชน์จาก “Degen” แล้ว Bitcoin ก็ยังคงเป็นที่เก็บรักษามูลค่าที่เป็นกลางและไร้ความเสี่ยงของโลก — ไม่มีการผลิตอย่างไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีความเสี่ยงของการผิดนัดชำระ ไม่มีการจัดการที่เป็นอันตราย เมื่อรวมกับพลังของ Smart Contract แล้ว Bitcoin จะถูกใช้งานอย่างเต็มที่เพื่อขจัดความเสี่ยงเชิงระบบที่มาพร้อมกับการพึ่งพาสกุลเงิน Fiat มากเกินไปและสร้างโลกที่มีความกระจายศูนย์อย่างแท้จริง ในระหว่างนี้ เราสามารถทำตามคำแนะนำของ Jim Cramer และทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามได้ ก็คือ ลงทุนในเทคโนโลยีและ AI (เรารู้ว่ามี Inverse Cramer ETF) แต่อย่าปฏิเสธ “เจ้าพวกแมวตัวใดตัวหนึ่งหรือแมวทั้งหมดเลยน่าจะดีกว่า!” แหล่งที่มา: Twitter ของ Jim Cramer ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

สงคราม Bitcoin Block Size - สงครามกลางเมืองที่ยังไร้ทางยุติ

สงครามในเรื่องขนาดของบล็อก (Block Size) ของ Bitcoin เป็นหนึ่งในประเด็นถกเถียงรุนแรงที่สุดในชุมชน Bitcoin ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยใจความของประเด็นนี้คือเรื่องความสามารถในการขยายการรองรับ กล่าวคือถกเถียงกันว่า Bitcoin จะขยายความสามารถในการรองรับธุรกรรมและการใช้งานเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ฝ่ายหนึ่ง (เรียกว่า “Big Blockers”) เชื่อว่าบล็อก ซึ่งเป็นที่บรรจุข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดควรมีขนาดเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีความสามารถในการรับส่งข้อมูล​ (Throughput) มากขึ้น ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเรียกว่า “Small Blockers” เชื่อว่าขนาดของบล็อกควรมีขนาดเล็กอย่างนี้ต่อไปเพื่อมุ่งเน้นด้านการกระจายศูนย์และความปลอดภัย ประวัติศาสตร์ขนาดของบล็อกโดยสังเขป ย้อนกลับไปในปี 2010 Satoshi Nakamoto ได้ทำการจำกัดขนาดของบล็อก (Block Size) ให้ Bitcoin ไว้ที่ 1 MB ซึ่งดูจะเป็นขนาดที่เขากำหนดเอาเองตามใจชอบ โดยการที่ Nakamoto ไม่เปิดเผยตัวตนก็ยิ่งทำให้การตัดสินใจและเจตนาของเขาดูเป็นปริศนายิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ ผู้คนก็คาดการณ์ว่ามาตรการจำกัดขนาดนี้เป็นเครื่องประกันอีกชั้นหนึ่งว่าบล็อกเชน Bitcoin จะสามารถรักษาความที่บล็อกเชนไม่ต้องอาศัยการอนุญาต (Permissionless) และทำให้อุปสรรคในการเข้าดำเนินการต่ำ เนื่องจากผู้เข้าร่วมจะต้องดาวน์โหลดข้อมูลบล็อกทั้งหมดเพื่อเข้าร่วมเครือข่ายโดยไม่มีบุคคลที่สามเกี่ยวข้อง หลังจากนั้นไม่กี่ปีต่อมา ขนาดของบล็อก 1 MB ดังกล่าวก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญของ Bitcoin เมื่อ บล็อกเชนดังกล่าวโด่งดังขึ้น โดยบล็อกเหล่านี้จะได้รับการยืนยันทุกๆ ประมาณ 10 นาที แต่กลับบรรจุธุรกรรมได้เพียง 1,500 ถึง 3,000 รายการเท่านั้น ทำให้มีธุรกรรมจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ต่อแถวกันอยู่ใน Mempool และแย่งกันประมูลพื้นที่ในบล็อก อีกทั้งค่าธรรมเนียม Gas มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ไปด้วย และทำให้มีความเห็นสายหนึ่งเกิดขึ้นมา กลุ่ม “Big Blockers” เห็นว่าการเพิ่มขนาดของบล็อก เช่น เพิ่มให้เป็น 2 MB หรือ 4 MB จะทำให้ในแต่ละบล็อกสามารถบรรจุธุรกรรมได้มากขึ้น และลดความล่าช้าลง การที่ระบบมีความสามารถในการรับส่งข้อมูล​ (Throughput) มากขึ้นย่อมช่วยให้ Bitcoin ก้าวขึ้นเป็นสกุลเงินและโซลูชันการชำระเงินระดับโลกได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้คนในกลุ่ม Small Blockers ก็อยากให้เป็นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามก็แย้งว่าการที่บล็อกมีขนาดเพิ่มขึ้นจะนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการกระจายศูนย์ เนื่องจากขนาดของบล็อกที่ใหญ่ขึ้นจะทำให้กลุ่มนักขุดและ Node รายย่อยร่วมดำเนินการเครือข่ายได้ยากขึ้น ฝ่ายดังกล่าวกลัวว่าจะมีการรวบอำนาจกันในหมู่ Mining Pool ถ้ารายย่อยไม่สามารถสู้ราคาในการดำเนินการได้ นอกจากนี้ บางคนยังเชื่ออีกด้วยว่าการเพิ่มขนาดของบล็อกเพื่อแก้ปัญหาความสามารถในการขยายการรองรับเป็นความไร้สาระเหมือนการพยายามดับไฟด้วยการโยนไม้ฟืนลงไปเพิ่ม โดยอาจเป็นการสร้างมาตรฐานวิธีปฏิบัติที่อันตราย เนื่องจากอาจไปเพิ่มจำนวนนักพัฒนาที่ขี้เกียจ ที่คิดว่าการเพิ่มขนาดของบล็อกเป็นยาสารพัดนึกที่แก้ได้ทุกปัญหา แทนที่จะหาวิธีใช้พื้นที่บล็อกให้ดีขึ้นหรือหาโซลูชันการขยายการรองรับอื่นๆ การประนีประนอมห่วยๆ ในปี 2016 สัญญาฮ่องกง (Hong Kong Agreement) ดูจะเป็นการประนีประนอมที่พอจะชี้ได้ว่าทั้งสองฝ่ายหาจุดร่วมกันได้บ้างแล้ว โดยมีการใช้ระบบ Segregated Witness (SegWit) ระบบได้ทำการลบข้อมูลของพยาน (Witness Information) ออกไปจากบล็อกและลดขนาดข้อมูลในบล็อกลง สัญญาฉบับดังกล่าวยังทำการเพิ่มขนาดของบล็อกไปเป็นประมาณ 2 MB ด้วย สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ กลุ่ม Big Blockers ดูน่าจะยินดีกับการตัดสินใจเพิ่มขนาดของบล็อกในรอบนี้ ในขณะที่กลุ่ม Small Blockers ก็ดูน่าจะดีใจที่เห็นว่าพื้นที่บล็อกมีการใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย กลุ่ม Big Blockers เห็นว่าการเพิ่มขนาดของบล็อกเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวห่วยๆ ซึ่งอีกไม่นานก็จะไปติดกำแพงขนาดของบล็อกอีก ส่วนกลุ่ม Small Blockers ก็ยืนยันต่อต้านการเพิ่มขนาดของบล็อกในทุกกรณี ซึ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายตกลงฉันทามติกันไม่ได้อยู่ดี หลังจากนั้นไม่นาน เหล่านักพัฒนาและผู้ศรัทธาใน Bitcoin ก็เริ่มมองหาทางแก้อื่นๆ ให้กับปัญหานี้ โดยในเดือนสิงหาคมปี 2017 กลุ่ม Big Blockers ก็ได้แยกตัวออกไปทำ Hard Fork และสร้างเป็น Bitcoin Cash (BCH) ที่เริ่มต้นด้วยขนาดของบล็อก 8 MB ในขณะที่ Bitcoin ยังคงมีขนาดของบล็อกที่ 1 MB แต่ก็ได้นำ Soft Fork ระบบ SegWit มาเพิ่มจำนวนธุรกรรมให้ดำเนินการได้มากขึ้น นอกจากนี้ SegWit ยังได้ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพในด้านอื่นๆ อีกที่เป็นผลให้ขนาดของบล็อกที่ใช้ได้จริงอยู่ที่ประมาณ 1.6 ถึง 2 MB ด้วย สันติภาพชั่วคราว สงครามในเรื่องขนาดของบล็อกได้สงบลงหลังจาก BCH ได้ทำการ Hard Fork ออกไป แต่การถกเถียงในประเด็นความสามารถในการขยายการรองรับก็ยังมีอยู่ต่อไปในทั้งชุมชน BTC และ BCH อยู่ดี ทั้งนี้ BCH ได้เพิ่มขนาดของบล็อกของตนเป็น 32 MB และยังคงมีพื้นที่ส่วนเกินเหลืออยู่ ส่วนชุมชน Bitcoin ก็ยังคงศึกษาหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป เช่นการใช้ Lightning Network, Liquid Network, Schnorr Signature และวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพอื่นๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการประมวลผลธุรกรรม ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็ยิ่งปรากฏชัดด้วยว่า Bitcoin จำเป็นต้องมีโซลูชันการขยายการรองรับ (Scaling Solution) ที่ใช้ได้จริงได้แล้ว จากการที่ Ordinal NFT และโทเค็น โทเค็น BRC-20 ได้ลากบล็อกเหล่านี้มาทำการทดสอบอย่างทารุณ ทั้งฝ่าย Big และ Small Blockers ต่างก็มีข้อถกเถียงที่ดีในเรื่องการรักษาสมดุลระหว่างความสามารถในการขยายการรองรับและการกระจายศูนย์ และต่างฝ่ายต่างก็มีผู้คนที่มีเจตนาสุจริตอยากเห็น Bitcoin ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความไม่ลงรอยกันในประเด็นว่าจะเดินหน้าต่อไปในทิศทางใดจึงจะดีที่สุด โดยการถกเถียงกันเรื่องขนาดของบล็อกนั้นก็แสดงถึงความท้าทายด้านการกำกับดูแลในโปรโตคอลกระจายศูนย์อย่าง Bitcoin ซึ่งที่สุดแล้วก็เป็นการยากที่จะตกลงได้ฉันทามติได้ระหว่างทุกฝ่าย และการขัดแย้งดังกล่าวก็ทำได้เพียงแต่ให้ผู้ใช้เป็นผู้ตัดสินใจเท่านั้นว่าตนจะชอบฟีเจอร์ใด เลือกใช้เหรียญใดกันนั่นเอง