ข่าวสาร BlackRock (BLACKROCK)

หุ้น Bitcoin คืออะไร คู่มือฉบับง่ายสำหรับมือใหม่ในปี 2025

Bitcoin เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ทางการเงินที่ได้รับการพูดถึงกันมากที่สุด ดึงดูดนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบันมานานกว่าทศวรรษ เมื่อคริปโทเคอร์เรนซีได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น ก็มีผู้คนจำนวนมากได้ยินคำว่า “หุ้น Bitcoin” และสงสัยกันว่าคำนี้หมายถึงอะไร Bitcoin เป็นหุ้นหรือไม่ สามารถลงทุนในแบบเดียวกันกับการถือหุ้นบริษัทได้ไหม คู่มือนี้อธิบายแนวคิดของหุ้น Bitcoin ตลอดจนความแตกต่างจากหุ้นทั่วไป และวิธีที่นักลงทุนจะสามารถมี Exposure กับ Bitcoin ได้ผ่านตัวเลือกการลงทุนต่างๆ นอกจากนี้ยังจะพาไปรู้จักกับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin ชั้นนำที่ต้องจับตามองในปี 2025 อีกด้วย Bitcoin ไม่ใช่หุ้น Bitcoin (BTC) เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ดำเนินงานบนเครือข่ายบล็อกเชนแบบกระจายศูนย์ สิ่งที่ทำให้แตกต่างไปจากหุ้น ซึ่งแสดงถึงความเป็นเจ้าของในบริษัท คือ Bitcoin ไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัฐบาล สถาบันการเงิน หรือบริษัทใดๆ นักลงทุนสามารถซื้อ ขาย และเทรด Bitcoin ได้ในลักษณะเดียวกันกับสกุลเงินต่างประเทศ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือทองคำ อ่านเพิ่มเติม: Bitcoin คืออะไร สุดยอดคู่มือฉบับเข้าใจง่ายสำหรับมือใหม่ในวงการคริปโต จุดต่างที่สำคัญระหว่าง Bitcoin กับหุ้น ราคา Bitcoin เป็น USD ผันผวนไปตามอุปสงค์และอุปทาน เทรนด์เศรษฐกิจมหภาค และความสนใจจากสถาบัน ในขณะที่ราคาหุ้นนั้นได้รับอิทธิพลจากรายได้ของบริษัท การตัดสินใจของผู้บริหาร และความเชื่อมั่นของตลาดโดยรวม สำหรับนักลงทุนที่ติดตามราคา Bitcoin เป็น USD แบบเรียลไทม์ และกำลังจับตาดูมูลค่าของ BTC นั้น สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า แม้ว่า Bitcoin ดำเนินงานอยู่นอกตลาดแบบดั้งเดิม แต่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin ก็ยังคงอยู่ภายใต้ข้อบังคับของตลาดหุ้นและปัจจัยด้านผลการดำเนินงานของบริษัทอยู่ เวลาที่พูดถึง “หุ้น Bitcoin” นั้นหมายถึงอะไร คำว่า “หุ้น Bitcoin” ไม่ได้หมายถึงหุ้นจริงๆ ที่แสดงถึงการเป็นเจ้าของ Bitcoin แต่โดยทั่วไปแล้วจะหมายถึงอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้: 1. บริษัทมหาชนที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin ธุรกิจเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการขุด Bitcoin การเทรด หรือการพัฒนาบล็อกเชน เช่น บริษัทที่ขุด Bitcoin ดำเนินงานแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี หรือพัฒนาบริการทางการเงินบนพื้นฐานบล็อกเชน ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้มักจะขึ้นลงตามความเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญใน BTC เป็น USD 2. กองทุนรวม Bitcoin ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (ETF) Bitcoin ETF ช่วยให้นักลงทุนได้มี Exposure กับความผันผวนของราคา Bitcoin โดยไม่ต้องซื้อหรือเก็บ BTC โดยตรง กองทุนเหล่านี้เทรดกันในตลาดหลักทรัพย์และเป็นช่องทางให้นักลงทุนแบบดั้งเดิมได้เข้าร่วมในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในขณะที่ติดตามเทรนด์กราฟราคา Bitcoin 3. บริษัทมหาชนที่ถือครอง Bitcoin บริษัทบางแห่งถือ Bitcoin เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการเงินของตน โดยมองว่าเป็นที่เก็บรักษามูลค่าในระยะยาว ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้จึงอาจได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของมูลค่า Bitcoin เช่น MicroStrategy และ Tesla ทั้งคู่ถือครอง Bitcoin ไว้ในจำนวนมาก วิธีลงทุนใน Bitcoin หรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin นักลงทุนที่ต้องการมี Exposure กับ Bitcoin สามารถพิจารณาตัวเลือกการลงทุนต่างๆ ได้ดังนี้: 1. การซื้อ Bitcoin โดยตรง วิธีที่เป็นทางตรงที่สุดในการลงทุนใน Bitcoin คือผ่านแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี เช่น Bitget ซึ่งคุณสามารถซื้อ Bitcoin ได้ทันทีด้วยประสบการณ์การเทรดที่รวดเร็วและปลอดภัย Bitget ช่วยให้การซื้อ Bitcoin ด้วยบัตรเดบิต การซื้อ Bitcoin ด้วย PayPal หรือวิธีการชำระเงินอื่นๆ นั้นเป็นเรื่องง่าย ด้วยระบบความปลอดภัยชั้นยอด สภาพคล่องสูง และฝ่ายบริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน จึงมั่นใจได้เลยว่า Bitget จะเป็นช่องทางการเข้าสู่ตลาด Bitcoin ที่ราบรื่นและเชื่อถือได้ 2. การลงทุนในหุ้นเหมืองขุด Bitcoin บริษัทขุด Bitcoin ดำเนินการศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ประมวลผลธุรกรรมบนบล็อกเชนและรับรางวัลเป็น BTC ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจเหล่านี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ราคา Bitcoin ความยากในการขุด และต้นทุนค่าไฟฟ้า 3. การลงทุนใน Bitcoin ETF Bitcoin ETF ช่วยให้นักลงทุนได้มี Exposure กับความเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin ได้โดยไม่ต้องซื้อ BTC โดยตรง กองทุนเหล่านี้เทรดกันในตลาดหุ้น จึงทำให้นักลงทุนแบบดั้งเดิมสามารถเข้าถึงได้ 4. การซื้อหุ้นของบริษัทที่ถือ Bitcoin บริษัทต่างๆ เช่น MicroStrategy และ Tesla ถือ Bitcoin จำนวนมากในงบดุลของตน ผลตอบแทนของหุ้นบริษัทเหล่านี้จึงได้รับอิทธิพลบางส่วนจากความผันผวนของราคา Bitcoin 5. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนและหุ้นเทคโนโลยี นอกเหนือจาก Bitcoin เองแล้ว บริษัทบางแห่งยังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนและการสนับสนุนการดำเนินงานของคริปโทเคอร์เรนซี ธุรกิจเหล่านี้ให้บริการฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรือบริการต่างๆ ที่มีส่วนสนับสนุนการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล 5 หุ้น Bitcoin เด่นที่ต้องจับตามองในปี 2025 สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนโดยอ้อมใน Bitcoin บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งก็ให้ Exposure กับตลาดคริปโทเคอร์เรนซี 1. MicroStrategy (MSTR) – บริษัทมหาชนที่มียอดถือครอง Bitcoin จำนวนมาก MicroStrategy เป็นหนึ่งในผู้ถือ Bitcoin รายใหญ่ที่สุดที่เป็นบริษัทด้วยปริมาณ 499,096 BTC (ข้อมูล ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2025) มูลค่าประมาณ 4.74 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐตามราคาปัจจุบัน บริษัทได้นำ Bitcoin มาใช้เป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์ทางการเงินของตน ซึ่งทำให้ราคาหุ้นของบริษัทมีความสัมพันธ์อย่างมากกับการเคลื่อนไหวของราคา BTC ณ เวลาที่เขียนนี้ มูลค่าตามราคาตลาดของ MicroStrategy อยู่ที่ 6.52 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และหุ้นปรับตัวขึ้น 190% ในปี 2024 นักลงทุนมองว่านี่คือหุ้นตัวแทนของ Bitcoin ซึ่งหมายความว่าให้ผลตอบแทนที่มักผูกติดกับราคาของ Bitcoin 2. Coinbase (COIN) – แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา Coinbase เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีที่อำนวยความสะดวกในการเทรด Bitcoin สำหรับนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน บริษัทสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมการเทรด บริการ Stake และโซลูชันด้านการดูแลรักษาสินทรัพย์ ในปี 2024 นั้น ราคาหุ้น COIN เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หุ้นปิดที่ราคา $173.92 ในวันที่ 31 ธันวาคม 2023 และที่ราคา $248.30 ในวันที่ 31 ธันวาคม 2024 คิดเป็นกำไรประมาณ 42.77% ในรอบปี 3. Riot Platforms (RIOT) – บริษัทขุด Bitcoin ชั้นนำ Riot Platforms ดำเนินการเหมืองขุด Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาเหนือ ในปี 2024 บริษัทขุดได้ 4,828 BTC และมี Hashrate ที่ 31.5 EH/s ราคาหุ้นของ Riot มีความสัมพันธ์อย่างมากกับผลกำไรจากการขุด Bitcoin ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดที่ 3.21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ เวลาที่เขียนนี้ จึงทำให้ Riot ยังคงเป็นผู้เล่นหลักในเซกเตอร์การขุด Bitcoin 4. BlackRock (BLK) – ผู้จัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่ให้บริการ Bitcoin ETF BlackRock เป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) มากกว่า 11.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนมกราคม 2024 นั้น BlackRock ได้เปิดตัว iShares Bitcoin Trust (IBIT) ซึ่งเป็นกอง Spot Bitcoin ETF กองแรกของบริษัท ETF เติบโตอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยรวบรวมสินทรัพย์ได้เกิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 11 เดือน ซึ่งถือเป็นการเปิดตัว ETF ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดที่ 1.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐและราคาหุ้นที่ขึ้น 26% ในปี 2024 จึงทำให้ BlackRock มีบทบาทสำคัญในการนำ Bitcoin ไปใช้งานในระดับสถาบัน 5. NVIDIA (NVDA) – บริษัทเทคโนโลยีที่สนับสนุนการขุด Bitcoin และ AI NVIDIA ผลิต GPU ประสิทธิภาพสูงซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในการขุด Bitcoin และแอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์ บริษัทรายงานรายได้รวม 6.09 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 ณ เวลาที่เขียนนี้ NVIDIA มีมูลค่าตามราคาตลาดที่ 3.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 171% ในปี 2024 สรุปปิดท้าย บทบาทของ Bitcoin ในตลาดการเงินกำลังมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น โดยมีการนำไปใช้งานจากสถาบันต่างๆ มากขึ้น มีความก้าวหน้าด้านการกำกับดูแล และมีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin เพิ่มมากขึ้น ในปี 2025 คาดว่าทั้งบริษัทขุด บริษัทโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน และ Bitcoin ETF จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมช่องว่างระหว่างโลกการเงินแบบดั้งเดิมกับอุตสาหกรรมคริปโต การที่มีนักลงทุนจำนวนมากขึ้นแสวงหาโอกาสในการลงทุนใน Bitcoin เราอาจเห็นการบูรณาการกับตลาดกระแสหลักที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะไปช่วยผลักดันให้หุ้นและ ETF ที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin เติบโตขึ้นไปสู่จุดสูงสุดใหม่ นอกจากนั้น การที่บริษัทต่างๆ นำ Bitcoin ไปใช้งานเป็นสินทรัพย์ที่เป็นทุนสำรอง ดังที่เห็นได้จากบริษัทอย่าง MicroStrategy และ Tesla ก็อาจยังคงส่งผลต่อเทรนด์ของตลาดหุ้นได้ต่อไป ทำให้ Bitcoin เป็นปัจจัยสำคัญในระบบการเงินโลก สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุน การซื้อ Bitcoin โดยตรงนั้นก็ยังคงเป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิผลที่สุดในการเริ่มต้น และแพลตฟอร์มอย่าง Bitget ก็ทำให้กระบวนการนี้ง่ายดายด้วยธุรกรรมที่ปลอดภัย การซื้อที่ประมวลผลทันที และตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย พื้นที่คริปโตกำลังมีวิวัฒนาการไปอย่างรวดเร็ว และการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในตอนนี้ก็อาจหมายถึงโอกาสใหญ่ๆ ในอนาคตข้างหน้าได้ คุณพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในอนาคตของ Bitcoin แล้วหรือยัง ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

Bitcoin 101: วันนี้ซื้อ Bitcoin ที่ไหนดีที่สุด

Bitcoin คริปโทเคอร์เรนซีตัวแรกและได้รับความนิยมที่สุดในโลก ได้กลายมาเป็นกระแสหลักในโลกการเงินอย่างรวดเร็ว เมื่อเร็วๆ นี้ ราคาได้พุ่งทะลุ $100,000 ไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลยเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ Bitcoin เปิดตัวในปี 2009 ก็ได้เติบโตจากการทดลองดิจิทัลเล็กๆ กลายมาเป็นสินทรัพย์ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ปัจจุบันมีทั้งนักลงทุน ธุรกิจห้างร้าน และแม้แต่รัฐบาลต่างก็ให้ความสนใจใน Bitcoin เนื่องจากมูลค่ายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่ต้องการซื้อ หากคุณกำลังคิดที่จะลงทุนใน Bitcoin สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าจะซื้อด้วยวิธีไหนถึงจะดีที่สุด คู่มือนี้จะพาคุณไปดูวิธีการและแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดสำหรับการซื้อ Bitcoin เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกการลงทุนของคุณได้อย่างดีที่สุด สมัคร Bitget วันนี้ เคลมของขวัญต้อนรับ $200! ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมในการซื้อ Bitcoin หรือไม่: 4 เหตุผลที่บอกว่าใช่ Bitcoin มีมูลค่าตลาด ล่าสุดพุ่งไปแตะถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มหาศาล เพื่อให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า Bitcoin อยู่ในระดับเดียวกันกับบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Google และ Amazon ซึ่งมีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ประมาณ 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน Microsoft ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้นมีมูลค่าอยู่ที่ระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าของ Bitcoin กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และนักลงทุนจำนวนมากมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคต แล้วทำไมตอนนี้ถึงเป็นเวลาที่ดีในการซื้อ Bitcoin มาดูเหตุผลสำคัญบางประการกัน: 1. เป็นที่ยอมรับมากขึ้น Bitcoin ได้รับความนิยมมากขึ้น ไม่เพียงกับผู้คนทั่วไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริษัทใหญ่ๆ และนักลงทุนด้วยเช่นกัน บริษัทการเงินรายใหญ่หลายแห่ง เช่น BlackRock และ Fidelity กำลังเพิ่ม Bitcoin ลงในพอร์ตของตน นอกจากนี้ นโยบายที่เป็นมิตรกับคริปโตภายใต้การนำของประธานาธิบดี Donald Trump ช่วยให้ Bitcoin ได้รับความไว้วางใจมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมสถาบันต่างๆ จำนวนมากขึ้นจึงเข้ามามีส่วนร่วม 2. ความต้องการที่เพิ่มขึ้น Bitcoin ไม่เคยเป็นที่ต้องการสูงขนาดนี้มาก่อน ธุรกิจห้างร้านต่างๆ ยอมรับ Bitcoin เป็นวิธีการชำระเงิน และมีการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินมากขึ้น อย่าง Bitcoin ETF เพื่อให้การลงทุนใน Bitcoin ทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีคนต้องการเป็นเจ้าของ Bitcoin มากขึ้น ราคาจึงสูงขึ้นตาม ทำให้ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีในการซื้อ 3. อุปทานจำกัด จะมีเพียง 21 ล้าน Bitcoin เท่านั้น อุปทานที่มีจำกัดนี้หมายความว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีภาวะเงินฝืด นั่นคือมูลค่าอาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น เพราะ Bitcoin นั้นต่างจากเงินทั่วไปตรงที่ไม่สามารถพิมพ์หรือผลิตออกมาให้มีจำนวนมากขึ้นได้ 4. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี Bitcoin ไม่ได้เป็นแค่สิ่งที่มีไว้สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีเท่านั้นอีกต่อไป พัฒนาการต่างๆ อย่าง Bitcoin ETF, Decentralized Finance (DeFi) และระบบความปลอดภัยที่ดีขึ้น ล้วนทำให้การซื้อ ถือ และใช้ Bitcoin กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ Bitcoin มีการบูรณาการเข้ากับระบบการเงินโลกมากขึ้น ส่งผลให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ด้วยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ Bitcoin จึงไม่ได้เป็นเพียงกระแสอีกต่อไป แต่เป็นการลงทุนอย่างจริงจังที่ยังคงสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง และวันนี้ก็อาจเป็นเวลาที่ดีที่จะได้เข้ามามีส่วนร่วม เทรด Bitcoin (BTC) บน Bitget เลย! วิธีซื้อ Bitcoin: 5 วิธีที่ดีที่สุด หากคุณพร้อมที่จะซื้อ Bitcoin แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ไหน ก็ไม่ต้องกังวลไป! มีวิธีง่ายๆ หลายวิธีในการซื้อ Bitcoin ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีของตัวเอง ไม่ว่าคุณต้องการจะซื้อบนแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน ซื้อโดยตรงจากผู้อื่น หรือซื้อผ่านกองทุนเพื่อการลงทุน ต่อไปนี้คือ 5 วิธีที่ดีที่สุดในการซื้อ Bitcoin: 1. แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตเป็นสถานที่หนึ่งที่สามารถซื้อ Bitcoin ได้ง่ายที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุด ใครที่อยากจะซื้อ Bitcoin อย่างรวดเร็วและปลอดภัย Bitget ก็เป็นตัวเลือกที่ใช่ มีกระบวนการที่ไม่ซับซ้อน เริ่มจากสร้างบัญชี ยืนยันตัวตนให้เสร็จสิ้น ฝากสินทรัพย์ จากนั้นก็ซื้อ Bitcoin ได้เลย คุณสามารถซื้อ Bitcoin ได้โดยตรงด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ซื้อผ่านบริการของบุคคลที่สาม หรือจะใช้วิธีการชำระเงินที่สะดวกสบายอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ Bitget ยังจัดอีเวนต์ไร้ค่าธรรมเนียมอีกด้วย ให้คุณซื้อได้โดยไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมใดๆ Bitget ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้กว่า 45 ล้านคน พร้อมมุ่งมั่นเพื่อความปลอดภัยในสินทรัพย์ของคุณ โดยมี Protection Fund มูลค่า $300M USDT รวมถึงอัตราส่วนของทุนสำรองแบบ 1:1 ที่การันตีผ่าน Proof of Reserves และสินทรัพย์ดิจิทัลกว่า 90% ที่จัดเก็บไว้อย่างปลอดภัยใน Multi-Signature Cold Wallet แบบออฟไลน์ คุณจึงซื้อและเทรด Bitcoin บน Bitget ได้อย่างมั่นใจ พร้อมแล้วใช่ไหม ลงทะเบียนเลย แล้วไปสำรวจโลกคริปโตอันน่ามหัศจรรย์ผ่าน Bitget กัน! 2. แพลตฟอร์ม Peer-to-Peer (P2P) หากคุณต้องการซื้อ Bitcoin โดยตรงจากผู้อื่น แพลตฟอร์ม P2P ก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม แพลตฟอร์มเหล่านี้เชื่อมโยงผู้ซื้อกับผู้ขายเข้าด้วยกัน ให้คุณเทรด Bitcoin ได้โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง ตัวอย่างแพลตฟอร์ม P2P ที่เป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ LocalBitcoins และ Paxful คุณสามารถเลือกราคา วิธีการชำระเงิน และผู้ที่คุณต้องการจะเทรดด้วยได้ อย่างไรก็ตาม โปรดใช้ความระมัดระวังและใช้ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยของแพลตฟอร์มเพื่อหลีกเลี่ยงสแกม 3. กองทุนเพื่อการลงทุน Bitcoin หรือ ETF สำหรับผู้ที่ต้องการมี Exposure กับ Bitcoin โดยไม่ต้องถือครองโดยตรง Bitcoin ETF (Exchange-Traded Fund) ก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม กองทุนเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถลงทุนใน Bitcoin ผ่านตลาดหุ้นแบบดั้งเดิมได้ กองที่ได้รับความนิยมได้แก่ Bitcoin ETF ของ BlackRock และ Bitcoin ETF ของ Fidelity เป็นต้น วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ลงทุนในตลาดหุ้นอยู่แล้วและต้องการเพิ่ม Bitcoin เข้าในพอร์ตของตน 4. Bitcoin ATM ใช่แล้ว คุณสามารถซื้อ Bitcoin ที่ตู้ ATM บางตู้ได้! ตู้ Bitcoin ATM ช่วยให้คุณสามารถแลกเปลี่ยนเงินสดเป็น Bitcoin ได้ ซึ่งมีตั้งอยู่ในหลายเมืองทั่วโลก คุณสามารถค้นหาตู้ Bitcoin ATM ใกล้ตัวคุณได้โดยใช้แผนที่ออนไลน์ แต่ต้องไม่ลืมว่าตู้ Bitcoin ATM มักเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าวิธีอื่น ดังนั้นจึงต้องดูค่าเรียกเก็บให้ดีก่อนใช้บริการ 5. Bitcoin Wallet (สำหรับจัดเก็บ Bitcoin ของคุณให้ปลอดภัย) เมื่อซื้อ Bitcoin แล้ว สิ่งสำคัญคือการจัดเก็บไว้ให้ปลอดภัย Bitcoin Wallet ช่วยให้คุณจัดเก็บ Bitcoin ของคุณไว้ให้ปลอดภัยได้ โดย Wallet นั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภทหลักๆ คือ Hot Wallet (ออนไลน์) และ Cold Wallet (ออฟไลน์) สำหรับ Hot Wallet นั้นจะสะดวกในการทำธุรกรรมในแต่ละวัน ส่วน Cold Wallet จะให้ความปลอดภัยที่มากกว่าเพื่อการจัดเก็บในระยะยาว หากคุณกำลังมองหา Wallet ที่ปลอดภัยและใช้งานง่าย Bitget Wallet ก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม ให้คุณส่ง รับ และ Swap Bitcoin (BTC) บน Mainnet ต่างๆ ได้ รวมถึงให้คุณเข้าถึง Bitcoin DApp ที่มีอยู่จำนวนมากได้ ไม่ว่าจะเป็น DeFi, NFT (Ordinals), GameFi และอีกเพียบ Bitget Wallet ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้กว่า 40 ล้านคนทั่วโลก ใช้งานได้บน iOS, Android และ Google Chrome Extension ออกแบบมาสำหรับทั้งมือใหม่และนักลงทุนมากประสบการณ์ ให้การจัดการและการเทรด Bitcoin อย่างปลอดภัยเป็นเรื่องง่าย Bitget Wallet ให้คุณซื้อ Bitcoin ด้วยสกุลเงิน Fiat ได้ผ่านฟีเจอร์ OTC และ Swap เป็นโทเค็นอื่นได้ ดาวน์โหลด Bitget Wallet แล้วออกสำรวจระบบนิเวศ Bitcoin อย่างง่ายดายได้แล้ววันนี้! บทสรุป ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่ชื่นชอบคริปโตตัวยง ก็มีหลายวิธีในการซื้อ Bitcoin ในปี 2024 ให้คุณได้เลือกใช้ แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตให้ความสะดวก ส่วนแพลตฟอร์ม P2P นั้นให้ราคาที่แข่งขันได้ ในขณะที่ Bitcoin ETF ก็ให้วิธีการที่ไม่ยุ่งยากในการมี Exposure โดยไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่อง Private Key การเลือกแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับระดับประสบการณ์ของคุณ กลยุทธ์การลงทุนของคุณ และความต้องการในระดับการควบคุมสินทรัพย์ของคุณ ต้องไม่ลืมว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวน แม้ว่าจะมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก แต่สิ่งสำคัญคือต้องตัดสินใจอย่างมีข้อมูลและลงทุนเฉพาะเท่าที่คุณสามารถสูญเสียได้เท่านั้น ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

การเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่สนับสนุนคริปโตมากยิ่งขึ้น: Trump, Bitcoin และการเปลี่ยนแปลงของตลาด

การกลับมาสู่ทำเนียบขาวอย่างมุ่งมั่นของ Donald Trump ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญไม่เพียงแต่ในแวดวงการเมืองสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงภูมิทัศน์ทางการเงินและคริปโทเคอร์เรนซีระดับโลกด้วย แม้ว่าการกลับมาของเขาจะจุดชนวนให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และปัญหาทางสังคม แต่คาดการณ์ได้ว่าจะมีผลกระทบรุนแรงที่สุดต่อวงการคริปโทเคอร์เรนซีและการเงินดิจิทัล การดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ของ Donald Trump พร้อมด้วยตัวแทนฝ่ายสนับสนุนคริปโตในรัฐสภาที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นการประกาศถึงยุคสำคัญของเซกเตอร์บล็อกเชนและอนาคตของบล็อกเชนภายในระบบนิเว ศทางการเงินที่กว้างขวางยิ่งขึ้น รุ่งอรุณแห่งคำสัญญาสำหรับผู้ที่ชื่นชอบคริปโต สำหรับหลายๆ คนในชุมชนคริปโทเคอร์เรนซี ชัยชนะของ Trump เหมือนกับแรงหนุนในตอนท้ายที่ค่อนข้างล่าช้า เส้นทางการหาเสียงของอดีตประธานาธิบดีเต็มไปด้วยวาทกรรมที่สัญญาว่าจะปฏิรูปกฎระเบียบ ลดการกำกับดูแลของรัฐบาล รวมถึงการริเริ่มเชิงกลยุทธ์ที่จะวางตำแหน่งสหรัฐฯ ให้เป็น “เมืองหลวงแห่งคริปโต” ของโลก จากคำมั่นในการปลดประธาน SEC Gary Gensler ซึ่งวงการคริปโตส่วนใหญ่มักจะมองกันว่าเป็นผู้ต่อต้านคริปโต ไปจนถึงข้อเสนอในการจัดตั้งทุนสำรอง Bitcoin แห่งชาติ กรอบนโยบายของ Trump ได้เปิดทางสำหรับบทใหม่ที่หาญกล้าของคริปโตเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันครบรอบ 20 ปีของ Whitepaper ของ Bitcoin เช่นเดียวกับ Bitcoin Halving ครั้งที่ 5 ในปี 2028 คำสัญญาเกี่ยวกับคริปโต 10 ประการของ Trump ที่มา: Wu Blockchain News การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่คาดการณ์ไว้สอดคล้องกับชัยชนะถล่มทลายของผู้สมัครที่สนับสนุนคริปโตอย่าง Trump ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ด้วยสมาชิกผู้แทนราษฎร 261 คนและวุฒิสมาชิก 17 คนที่ได้รับการระบุว่าเป็นมิตรกับวงการคริปโต แรงผลักดันของฝ่ายนิติบัญญัติอาจส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่ไม่เพียงแต่ผ่อนปรนมากขึ้นเท่านั้นแต่ยังอาจสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อีกด้วย สภาพแวดล้อมดังกล่าวอาจกระตุ้นให้มีกระแสไหลเข้าของเงินทุน ขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรม และเสริมสร้างบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำในด้านเทคโนโลยีทางการเงิน Bitcoin พุ่งสูง ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น การตอบสนองเบื้องต้นของตลาดต่อชัยชนะของ Trump ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของเหตุการณ์นี้ ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นแตะ All Time High ใหม่โดยทะลุ $75,700 ได้สำเร็จ เนื่องมาจากทัศนคติเชิงบวกที่เพิ่มขึ้นและการรับรู้ถึงเสถียรภาพของนโยบายภายใต้การบริหารที่สนับสนุนภาคธุรกิจ นักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ท่าทีของ Trump ในการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลอาจส่งเสริมให้ Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีชั้นนำอื่นๆ เติบโตมากขึ้นไปอีก ราคา Bitcoin (BTC) เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2024 ที่มา: CoinDesk ที่น่าสนใจคือแนวโน้มเศรษฐกิจของ Trump ซึ่งรวมถึงการเสนอมาตรการภาษีและนโยบายคุ้มครองการค้าได้ส่งผลกระทบต่อสกุลเงินทั่วโลกไปแล้ว ตัวอย่างเช่น สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการลดลงในวันเดียวที่มากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤต COVID-19 อย่างไรก็ตาม ความแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์นี้อาจกระตุ้นให้มีความต้องการ Bitcoin เพิ่มขึ้นก็เป็นได้ เนื่องจาก Reserve Currency (สกุลเงินที่เป็นทุนสำรอง) ของโลกมีความแข็งแกร่งมากขึ้น นักลงทุนอาจกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์คริปโตเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาเงินเฟ้อ และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Bitcoin ถูกจัดให้เป็น “ทองคำดิจิทัลรูปแบบใหม่ (New Digital Gold)” อย่างแท้จริง หรือนี่คือจุดจบยุคของ Gensler หัวใจสำคัญของเรื่องราวนี้คือชะตากรรมของประธาน SEC Gary Gensler ซึ่งดำรงตำแหน่งมาอย่างยาวนานโดยมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับหน่วยงานด้านคริปโตหลักๆ ภายใต้คำสัญญาของ Trump ที่จะปลด Gensler ออกจากตำแหน่งในวันแรก ความสนใจจึงหันไปที่ผู้ที่จะมาทำงานแทนซึ่งอาจจะปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ด้านกฎระเบียบได้ Hester Peirce หรือ “Crypto Mom” เป็นที่รู้จักจากมุมมองที่ก้าวหน้าเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของ Robinhood Dan Gallagher อยู่ในรายชื่อที่เสนอให้มารับบทบาทนี้ ทั้งสองคนนี้มีประวัติในการสนับสนุนแนวทางที่สมดุลในการกำกับดูแลคริปโต ซึ่งบ่งชี้ว่านโยบายในอนาคตของ SEC อาจให้ความสำคัญกับความชัดเจนและการเติบโตมากกว่ามาตรการลงโทษ ผลกระทบเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก: สภาพแวดล้อมการกำกับดูแลที่สร้างสรรค์มากขึ้นอาจช่วยบรรเทาความวิตกกังวลเรื่องการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เคยทำให้ผู้ลงทุนสถาบันและนักพัฒนาเกิดความลังเลใจ นอกจากนี้ยังสามารถปูทางไปสู่การออกกฎหมายที่ครอบคลุมซึ่งบูรณาการคริปโทเคอร์เรนซีเข้ากับกรอบบริการทางการเงินที่กว้างขึ้นได้ ด้วยการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในระบบการเงินแบบดั้งเดิมพร้อมทั้งเคารพต่อลักษณะเฉพาะของระบบดังกล่าว ผลกระทบระลอกคลื่น (Ripple Effect) ทางการเงินระดับโลก ชัยชนะของ Trump ยังส่งผลดีต่อตลาดการเงินแบบดั้งเดิมอีกด้วย ดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones, SP 500 และ Nasdaq ต่างพุ่งสูงขึ้นหลังผลการเลือกตั้ง โดยได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังในเรื่องการลดหย่อนภาษี การผ่อนคลายกฎระเบียบ และวาระเศรษฐกิจ “America First” ที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็ตอบสนองในลักษณะเดียวกัน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ถึงการขยายตัวทางด้านการคลังและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้น ส่วนในยุโรป สถานการณ์มีความซับซ้อนมากกว่านั้น ดอลลาร์ที่แข็งค่าควบคู่ไปกับคำมั่นสัญญาของ Trump ที่จะจัดเก็บภาษีนำเข้าและกดดันพันธมิตร NATO ให้เพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมก่อให้เกิดความท้าทายทางเศรษฐกิจสำหรับยูโรโซน (Eurozone) ตลาดตราสารหนี้แสดงสัญญาณความตึงเครียดแล้ว โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ECB อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อีกครั้ง พลวัตเหล่านี้อาจช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเรื่องราวของ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ที่ก้าวข้ามขอบเขตของสกุลเงินแบบดั้งเดิมและมีความยืดหยุ่นทนทานต่อนโยบายเศรษฐกิจของชาติ สถานการณ์ที่คล้ายกันนี้สามารถพบเห็นได้ในเอเชียเช่นกัน ซึ่งการที่ดอลลาร์แข็งค่านำมาซึ่งทั้งโอกาสและความท้าทายมากมาย เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยการส่งออก เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ อาจเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการส่งออกที่มีการแข่งขันน้อยลง ในขณะเดียวกัน แนวโน้มการค้าของจีนอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีและนโยบายเศรษฐกิจที่ Trump เสนอเพื่อจำกัดอิทธิพลของปักกิ่ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนชาวเอเชียบางส่วนอาจมองว่าจุดยืนของ Trump ที่สนับสนุนคริปโตเป็นโอกาสในการกระจายพอร์ตการลงทุนของตน ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ผู้คนสนใจ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ในภูมิภาคมากขึ้น การผลักดันการลงทุนของสถาบัน นอกเหนือจากปฏิกิริยาทันทีของตลาดแล้ว ประธานาธิบดี Trump อาจเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการนำคริปโตมาใช้ในสถาบัน นโยบายที่สนับสนุนการขุดในประเทศ การทำให้การดูแลรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลโดยธนาคารถูกต้องตามกฎหมาย และการรวมเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ากับโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ อาจดึงดูดเงินทุนจำนวนมากมายเข้าสู่ตลาดได้ การจัดตั้งทุนสำรอง Bitcoin แห่งชาติที่อาจเกิดขึ้นนั้น แม้จะดูทะเยอทะยาน แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการยอมรับ Bitcoin ให้เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ และอาจสร้างบรรทัดฐานที่ประเทศอื่นๆ อาจทำตามต่อไป iShares Bitcoin ETF ของ BlackRock โพสต์ปริมาณการเทรดสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังจากที่ Trump ได้รับชัยชนะ โดยแตะระดับ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 20 นาทีแรกของวัน และแตะระดับ 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในวันพุธ การเพิ่มขึ้นของกิจกรรมนี้เน้นย้ำถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากผู้เล่นสถาบันและเป็นสัญญาณของการยอมรับ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์การลงทุนที่มากขึ้น นอกจากนี้ การไหลเข้าโดยรวมสู่ Bitcoin ETF ของสหรัฐอเมริกามีมูลค่าถึง 622 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในมูลค่าสูงสุดนับตั้งแต่มีการก่อตั้งมา โมเมนตัมดังกล่าวเน้นว่าการเปลี่ยนแปลงผู้นำทางการเมืองที่สนับสนุนคริปโตอาจเร่งการมีส่วนร่วมของกองทุนบำเหน็จบำนาญและสถาบันการลงทุนแบบดั้งเดิมอื่นๆ ในตลาดคริปโตได้เช่นกัน ผู้นำในอุตสาหกรรมได้สังเกตเห็นจุดเปลี่ยนที่อาจยกระดับคริปโตจากกลุ่มเฉพาะที่เน้นการเก็งกำไรให้กลายมาเป็นรากฐานสำคัญของการเงินยุคใหม่ได้: “เรามองว่าอาจมีเงินนับแสนล้านไหลเข้าสู่ระบบนิเวศในอนาคต” ปริมาณการเทรด iShares Bitcoin ETF ของ BlackRock ที่มา: Bloomberg การเผชิญกับความท้าทายในอนาคต แม้ว่าจะมีความหวังดี แต่ก็ยังคงมีความท้าทายอยู่ มาตรการทางเศรษฐกิจที่ Trump เสนอ - รวมทั้งภาษีศุลกากรและนโยบายการคลังที่ทะเยอทะยานอาจก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมและส่งผลต่อนโยบายการเงินของ FED ได้ การรักษาสมดุลระหว่างการส่งเสริมการเติบโตและการจัดการภาวะเงินเฟ้อนั้นมีความละเอียดอ่อน และเซกเตอร์คริปโตจำเป็นต้องรับมือกับปัญหาอันซับซ้อนเหล่านี้ด้วยความระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม ชัยชนะของ Trump ถือเป็นจุดเริ่มต้นของบทแห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งอาจกำหนดบทบาทใหม่ในระบบการเงินของโลกได้ ในขณะที่ผู้กำหนดนโยบาย นักลงทุน และผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมกำลังเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป สถานการณ์ในขณะนี้ก็พร้อมแล้วสำหรับการพัฒนาคริปโตจากรอบนอกสู่กระแสหลักเนื่องด้วยการสนับสนุนจากประธานาธิบดีที่มองเห็นศักยภาพในการปรับเปลี่ยนอำนาจทางเศรษฐกิจ ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

การเลือกตั้งสหรัฐปี 2024: คริปโทเคอร์เรนซีมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรบ้าง

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2024 กำลังใกล้เข้ามา ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านการเมืองอย่างที่เป็นมาเท่านั้น แต่ยังขยายวงไปสู่ด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ซึ่งรวมไปถึงคริปโทเคอร์เรนซีด้วย ในขณะที่ผู้สมัครทั้ง Kamala Harris รองประธานาธิบดีปัจจุบัน และ Donald Trump อดีตประธานาธิบดี ต่างขับเคี่ยวชิงตำแหน่งในทำเนียบขาว วงการสินทรัพย์ดิจิทัลก็จับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากนโยบายของผู้สมัครแต่ละคนอาจกำหนดอนาคตของการกำกับดูแลและตลาดคริปโตในสหรัฐ อีกทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงินโลกและเทคโนโลยีบล็อกเชนด้วย คริปโตและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจปี 2024 การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่สำคัญ เนื่องจากเมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารกลางสหรัฐได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 50 Basis Point ในเดือนกันยายน 2024 โดยลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือเป้าหมายในช่วง 4.75%-5% เป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2020 ถือเป็นก้าวที่ระมัดระวังซึ่งมุ่งบรรเทาแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันก็สนับสนุนตลาดแรงงาน ทำให้การกู้ยืมมีต้นทุนลดลง และเปิดทางให้เกิดความสนใจอีกครั้งในสินทรัพย์ที่เก็งกำไรมากขึ้น เช่น คริปโทเคอร์เรนซี อัตราดอกเบี้ยที่สูงดึงดูดเงินทุนไปสู่การลงทุนที่มีเสถียรภาพและให้ผลตอบแทนมากกว่ามาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ดังนั้นเมื่อมีการลดอัตราดอกเบี้ยลง ก็อาจทำให้นักลงทุนบางส่วนหันกลับมาลงทุนในเซกเตอร์ที่มีการเติบโตสูง เช่น สินทรัพย์ดิจิทัล ส่วนนอกสหรัฐอเมริกานั้น เศรษฐกิจโลกยังต้องรับมือกับปัญหาเงินเฟ้อและความท้าทายด้านค่าเงินเช่นกัน โดยธนาคารกลางทั่วโลกต่างปรับนโยบายการเงินของตนหรือตั้งเป้าที่จะปรับเช่นเดียวกัน เมื่ออัตราเงินเฟ้อเริ่มผ่อนคลายลงและมีแนวโน้มว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคต่างๆ เช่น ยุโรปและเอเชีย การเปลี่ยนทิศในด้านเศรษฐกิจในวงกว้างก็อาจส่งเสริมให้คริปโทเคอร์เรนซีมีความน่าสนใจมากขึ้นในการใช้ป้องกันความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Bitcoin และ Stablecoin อาจได้รับความสนใจมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก และมุ่งหน้าสู่การมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในฐานะการเป็นที่เก็บรักษามูลค่าและสภาพคล่องแบบกระจายศูนย์ในสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนทางการเงินและเศรษฐกิจ ความเคลื่อนไหวใน Prediction Market สำหรับคริปโตในช่วงฤดูการเลือกตั้งสหรัฐ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2024 ได้มี Prediction Market สำหรับคริปโตเกิดขึ้นมาเป็นเครื่องมือแบบกระจายศูนย์ในการวัดความเชื่อมั่นทางการเมืองและคาดการณ์ผลลัพธ์ แพลตฟอร์มอย่าง Polymarket ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในการเลือกตั้งรอบนี้ เนื่องจากเปิดให้ทายผลแบบเรียลไทม์โดยใช้บล็อกเชน ผู้เข้าร่วมจึงเดิมพันผลการเลือกตั้งและเหตุการณ์ทางการเมืองอื่นๆ ได้ ประมาณ 88% ของปริมาณการเทรดของ Polymarket ในปี 2024 เป็นของตลาดที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสหรัฐ ซึ่งกิจกรรมที่มีมากขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความน่าดึงดูดใจอันเป็นเอกลักษณ์ของแพลตฟอร์มในการรวบรวมความเชื่อมั่นของผู้คนทั่วโลกที่ปราศจากอคติในการทำแบบสำรวจความคิดเห็นแบบเดิม พร้อมทั้งนำเสนอตัวเองเป็นเครื่องมือล้ำค่าสำหรับการจับมุมมองของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มีความแตกต่างกัน อัตราต่อรองของ Polymarket สำหรับ Harris และ Trump ขึ้นๆ ลงๆ ตามพัฒนาการของแคมเปญหาเสียงและการประกาศนโยบาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Prediction Market สามารถจับปฏิกิริยาทันทีได้จากทั้งผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงและนักลงทุน เช่น ในช่วงปลายฤดูร้อน อัตราต่อรองของ Trump ไต่ขึ้นไปถึงเกือบ 55% จากแคมเปญหาเสียงของเขาเน้นที่เน้นหนักไปยังการส่งข้อความที่สนับสนุนคริปโตเป็นอย่างมาก การดึงดูดชุมชนคริปโตด้วยคำมั่นสัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงนโยบายให้เอื้ออำนวยนั้นทำให้ Trump เข้าถึงกลุ่มผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกลุ่มสำคัญซึ่งนำไปสู่การสนับสนุนที่พุ่งสูงขึ้นใน Polymarket ในขณะเดียวกัน อัตราต่อรองของ Harris ก็แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น ซึ่งมาจากการมุ่งเน้นแคมเปญหาเสียงของเธอไปยังด้านความสมดุลด้านการกำกับดูแล ทำให้ดึงดูดนักลงทุนสถาบันที่ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพในนโยบายคริปโต การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เผยให้เห็นว่า Prediction Market เสนอมุมมองความคิดเห็นสาธารณะได้ในแบบไดนามิก ซึ่งทันสถานการณ์กว่าการทำโพลสำรวจแบบดั้งเดิมมากในการตอบสนองต่อข้อมูลใหม่ ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2024 ใน Pool การเลือกตั้งสหรัฐบน Polymarket ที่มา: Polymarket นอกเหนือจากการติดตามความเชื่อมั่นของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งแล้ว Prediction Market อย่าง Polymarket ก็ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างการรับรู้ของทั่วโลกเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งสหรัฐอีกด้วย เนื่องจากผู้ที่เข้ามาเดิมพันจากภูมิภาคต่างๆ นั้นมีส่วนร่วมและสะท้อนความคิดเห็นของตนออกมาผ่านฝั่งที่แทง แพลตฟอร์มนี้ได้กลายมาเป็นพื้นที่ที่ความเห็นจากทั่วโลกมาบรรจบกัน ด้วยลักษณะการกระจายศูนย์ที่ทำให้มีผู้เข้าร่วมหลากหลายกว่าการทำโพลสำรวจแบบเดิมที่จำกัดอยู่ตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ตลาดเหล่านี้จึงไม่เพียงทำหน้าที่เป็นเครื่องวัดความเชื่อมั่นในการเลือกตั้งสหรัฐเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวบ่งชี้มุมมองที่นานาชาติมีต่อผู้นำสหรัฐอีกด้วย รวมถึงให้ข้อมูลเชิงลึกว่าโลกคาดการณ์และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงพลวัตทางการเมืองของอเมริกาอย่างไร ผลการเลือกตั้งสหรัฐและผลกระทบต่อตลาดคริปโตทั่วโลก ผลลัพธ์มีแนวโน้มที่จะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อสภาพแวดล้อมด้านการกำกับดูแลคริปโทเคอร์เรนซีทั้งในสหรัฐและทั่วโลก หากว่ายังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมภูมิทัศน์ที่ยืดหยุ่นสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล รัฐบาล Trump ก็อาจสนับสนุนนโยบายอย่างแรงจูงใจทางภาษีสำหรับการขุด Bitcoin ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สหรัฐมีกำลัง Hash ประมาณ 35% ของทั่วโลกในปัจจุบัน นโยบายของ Trump เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจผ่านเทคโนโลยี และเป็นผลให้อาจลดแรงกดดันด้านการกำกับดูแลต่อผู้เล่นหลักในเซกเตอร์คริปโตและวางตำแหน่งสหรัฐให้เป็นผู้นำด้านบล็อกเชนระดับโลก ท่าทีที่แข็งกร้าวในการสนับสนุนคริปโตที่เขาเพิ่งค้นพบนั้นได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนสินทรัพย์ดิจิทัล ดังจะเห็นได้จากอัตราต่อรองที่เอื้ออำนวยของเขาบน Polymarket ซึ่งขณะนี้ผู้ที่ชื่นชอบคริปโตให้เขาได้เปรียบอยู่ที่ 62%-38% ในทางกลับกัน รัฐบาล Harris น่าจะมุ่งเน้นไปที่เสถียรภาพด้านการกำกับดูแล โดยเน้นไปที่การคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในตลาด Stablecoin ซึ่งคิดเป็นประมาณ 15% ของเซกเตอร์คริปโต แนวทางนี้มาได้ถูกจังหวะเมื่อพิจารณาจากการดำเนินการด้านการกำกับดูแลล่าสุด เช่น การที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) ไต่สวน Tether ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคา Bitcoin ในช่วงสั้นๆ และเน้นให้เห็นถึงความอ่อนไหวที่ตลาดในวงกว้างมีต่อพัฒนาการด้านการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับ Stablecoin ภายใต้รัฐบาล Harris เราอาจคาดหวังการผลักดันเพื่อความโปร่งใสและการกำกับดูแลที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งอาจดึงดูดนักลงทุนสายอนุรักษ์นิยมหรือเสี่ยงต่ำที่แสวงหาตลาดที่มีโครงสร้างที่ปลอดภัย การกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดยิ่งขึ้นอาจส่งเสริมให้ประเทศอื่นๆ นำกรอบการกำกับดูแลที่คล้ายคลึงกันมาใช้ ซึ่งจะช่วยให้เกิดสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เสถียรยิ่งขึ้นสำหรับคริปโต และแน่นอนว่าจะสร้างความเชื่อมั่นในระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลได้ การนับถอยหลังเริ่มขึ้นแล้ว เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนใกล้เข้ามา ชุมชนคริปโตทั่วโลกยังคงปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจกำหนดทิศทางใหม่ให้กับอุตสาหกรรมได้ เนื่องจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกันเกือบครึ่งหนึ่งถือว่านโยบายคริปโตเป็นปัจจัยในการตัดสินใจ การเลือกตั้งสหรัฐครั้งนี้จึงตอกย้ำว่าสินทรัพย์ดิจิทัลทวีความสำคัญขึ้นในบริบทการเมืองกระแสหลัก แนวทางของรัฐบาลชุดต่อไปน่าจะไม่เพียงกำหนดอนาคตของตลาดสหรัฐ เท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อมาตรฐานการกำกับดูแลทั่วโลกอีกด้วย โดยจะเป็นตั้งเกณฑ์มาตรฐานในการประเมินมูลค่า การบูรณาการ และการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในระบบเศรษฐกิจต่างๆ ล่าสุดราคา Bitcoin พุ่งขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2024 โดยแตะระดับ $73,544 เพียงสัปดาห์เดียวก่อนการเลือกตั้งสหรัฐ การดีดขึ้น 6% ในวันที่ 29 ตุลาคมทำให้กำไรรายเดือนของ Bitcoin อยู่ที่ 13% แซงหน้าหุ้นแบบดั้งเดิมทั้งในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป ในช่วงเวลาเดียวกัน ความสนใจของสถาบันเป็นแรงกระตุ้นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการอนุมัติ Bitcoin Spot ETF ในเดือนมกราคม ซึ่งดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐจากบริษัทต่างๆ เช่น BlackRock และ Grayscale ซึ่งก็ได้เพิ่มสภาพคล่องและความเชื่อมั่นให้กับตลาด ราคา Bitcoin ที่พุ่งสูงขึ้นนั้นสอดคล้องกับเดิมพันฝั่ง Trump ที่มากขึ้นบน Prediction Market ทั่วโลกจากนโยบายที่สนับสนุน Bitcoin ของเขา ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากบรรดานักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล คำสัญญาของเขาเกี่ยวกับนโยบายที่เป็นมิตรกับคริปโตได้กระตุ้นให้เกิดความเชื่อมั่นที่ Bullish ทั่วทั้งเซกเตอร์ เนื่องจากนโยบายของผู้สมัครทั้ง 2 คนนี้มีแนวโน้มที่จะกำหนดอนาคตเชิงกลยุทธ์ของสินทรัพย์ดิจิทัล โลกจึงกำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าผลการเลือกตั้งสหรัฐจะสามารถกำหนดบทบาทใหม่ให้กับคริปโตในสหรัฐและในภูมิทัศน์ทางการเงินทั่วโลกได้อย่างไรบ้าง ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

บทวิเคราะห์การเปิดตัว Spot ETH ETF ในสหรัฐอเมริกา

เส้นทางสู่การอนุมัติ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่แนวคิดเกี่ยวกับ Spot ETH ETF เป็นหัวข้อที่น่าสนใจและเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในหมู่นักลงทุน หน่วยงานกำกับดูแล และสถาบันการเงิน โดย ETF คือประเภทของกองทุนเพื่อการลงทุนที่เทรดกันในตลาดหุ้น เช่นเดียวกับหุ้นรายตัว ซึ่ง Spot ETF ก็เป็นที่ต้องการอย่างมาก เนื่องจากมีลักษณะที่ติดตามราคาจริงของสินทรัพย์อ้างอิง ในกรณีนี้คือ ETH แทนที่จะพึ่งพาสัญญา Futures หรือตราสารทางการเงินอื่นๆ การผลักดันให้มี Spot ETH ETF เริ่มได้รับแรงสนับสนุนเมื่อหลายปีก่อน ผู้สนับสนุนให้เหตุผลว่ากองทุนดังกล่าวจะนำเสนอช่องทางที่ตรงและเข้าถึงได้มากกว่าสำหรับนักลงทุนในการเข้าถึง ETH อย่างไรก็ตาม เส้นทางดังกล่าวเต็มไปด้วยความท้าทาย ก.ล.ต. สหรัฐ (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ: SEC) และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ ต่างก็ระมัดระวังในการอนุมัติกองทุนเหล่านี้ เนื่องจากมีข้อกังวลเกี่ยวกับการปั่นตลาด ความปลอดภัย และความผันผวนโดยรวมของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ก่อนหน้านี้ SEC เคยปฏิเสธข้อเสนอหลายรายการเกี่ยวกับ Spot Bitcoin ETF โดยอ้างถึงข้อกังวลที่คล้ายคลึงกัน สภาพแวดล้อมด้านการกำกับดูแลสำหรับคริปโทเคอร์เรนซียังคงอยู่ในช่วงพัฒนา และยังมีความกังขาอยู่มากเกี่ยวกับเสถียรภาพและความปลอดภัยของคริปโทเคอร์เรนซี หลายคนเชื่อว่าการอนุมัติ Spot ETH ETF จะเป็นไปในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางปี 2024 ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด สถาบันให้ความสนใจมากขึ้นและกรอบการกำกับดูแลก็มีความก้าวหน้ามากขึ้น จึงนำไปสู่ความเชื่อมั่นที่เพิ่มมากขึ้น หลังจากการเจรจา ปรับเปลี่ยน และนำเสนอเป็นเวลาหลายเดือน SEC และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ ก็ได้อนุมัติ Spot ETH ETF หลายกอง การอนุมัติครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในวงการคริปโทเคอร์เรนซีและเป็นการเปิดประตูให้กองทุนเหล่านี้เริ่มเปิดให้เทรดได้ บริษัทต่างๆ เช่น Grayscale, Fidelity และ BlackRock มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการอนุมัติ โดยให้เหตุผลว่าตลาดพร้อมแล้วสำหรับ ETH ETF และผลประโยชน์ที่จะได้รับนั้นมีมากกว่าความเสี่ยง ความพยายามอย่างต่อเนื่องของบริษัทเหล่านี้ ร่วมกับความสนใจของสถาบันที่เพิ่มขึ้นใน ETH ได้นำไปสู่ความเคลื่อนไหวด้านการกำกับดูแลในเชิงบวกในที่สุด หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุปสรรคช่วงแรกเริ่มในการอนุมัติ Spot ETH ETF ในสหรัฐ สามารถอ่านได้ใน: Spot ETH ETF กับเส้นทางสู่การยอมรับจากหน่วยงานกำกับดูแลที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ วันเปิดตัวและวันเริ่มต้นเทรด การเปิดตัว Spot ETH ETF ได้รับการคาดหวังอย่างมาก เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2024 บรรดา ETF กองต่างๆ ได้เริ่มเทรดอย่างเป็นทางการในตลาดหุ้นสหรัฐ มีความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด นักลงทุนต่างกระตือรือร้นที่จะดูว่าผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่เหล่านี้จะทำผลตอบแทนได้เพียงใด วันแรกของการเทรด การเปิดตัว Spot ETH ETF ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2024 มีเสียงตอบรับในแบบที่ผสมกันทั้งจากความกระตือรือร้นและความระมัดระวัง ปริมาณการเทรดเริ่มแรกนั้นน่าประทับใจ โดย ETF สร้างปริมาณการเทรดสะสมได้ราว 1.05 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในวันแรก ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญว่าตลาดให้ความสนใจและมีความเชื่อมั่น อย่างไรก็ตาม ความตื่นเต้นดังกล่าวก็ลดลงจากความกังวลบางประการ การเปิดตัวนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับความผันผวนของตลาดในวงกว้างและการปล่อย Bitcoin จำนวนมากจากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน Mt. Gox ซึ่งมีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นของตลาด กอง ETH Trust (ETHE) ของ Grayscale ทำผลงานได้โดดเด่นด้วยปริมาณการเทรดราว 492 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นประมาณ 52% ของปริมาณการเทรดทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีกองอื่นๆ ที่ทำผลงานได้เตะตา เช่น iShares ETH Trust (ETHA) ของ BlackRock ซึ่งเทรดกันไป 256 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ ETH Fund (FETH) ของ Fidelity ซึ่งมีปริมาณ 113 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าจะมีความตื่นเต้นในช่วงแรก แต่กระแสการไหลสุทธิกลับอยู่ในระดับกลางๆ โดย ETF มีกระแสไหลเข้าสุทธิ 106.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บ่งชี้ว่าแม้นักลงทุนจะมีความเชื่อมั่น แต่ก็ใช้ความระมัดระวัง แท้จริงแล้วเทรนด์เชิงบวกนั้นไม่ได้คงอยู่ยาวนาน วันที่ 2 ของการเทรด วันที่ 2 ของการเทรดนั้นเกิดเหตุการณ์พลิกผันอย่างน่าตื่นเต้น Spot ETH ETF มีปริมาณการเทรด 951 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มีกระแสไหลออกจำนวนมาก โดยมีกระแสไหลออกจากกองทุนสุทธิถึง 113.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อกระแสไหลออกดังกล่าวคือการขายครั้งใหญ่จาก ETH Trust (ETHE) ของ Grayscale ซึ่งมีกระแสไหลออกถึง 326.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กองทุนนี้ซึ่งเพิ่งจะเปลี่ยนไปเป็น Spot ETF นั้นต้องเผชิญกับแรงกดดันในการขายอย่างหนักจากนักลงทุน ETHE ของ Grayscale เพียงกองเดียวคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ของกระแสไหลออก ซึ่งตอกย้ำถึงความผันผวนและความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ในพื้นที่คริปโต แม้จะมีกระแสไหลออกจาก Grayscale แต่กองทุนอื่นๆ เช่น FETH ของ Fidelity กับ BITW ของ Bitwise ก็สามารถดึงดูดกระแสไหลเข้าได้จำนวนมาก โดยมีจำนวน 74.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐและ 29.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ ระดับความเชื่อมั่นที่ผสมผสานนี้บ่งชี้ว่าในขณะที่นักลงทุนบางส่วนกำลังถอนตัว นักลงทุนรายอื่นๆ ก็ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของ ETH ETF อยู่ อีกทั้งตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในวงกว้างก็ประสบกับความผันผวนเช่นกัน จึงอาจมีส่วนทำให้เกิดกระแสไหลออกด้วย ที่มา: FarSide Investors ผลกระทบต่อตลาดคริปโต การเปิดตัว Spot ETH ETF ส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดต่อตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในวงกว้าง ปฏิกิริยาของตลาดและการเคลื่อนไหวของราคา ในช่วงแรก ความกระตือรือร้นที่มีต่อ ETH ETF ดูเหมือนจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดความเชื่อมั่นเชิงบวกในตลาด อย่างไรก็ตาม ความผันผวนและกระแสไหลออกที่ตามมาส่งผลกระทบทั้งดีและไม่ดี ราคาของ ETH ลดลงราว 8% หลังจากการเทรดวันที่ 2 โดยทรงตัวอยู่ที่บริเวณ $3,158 การปรับตัวลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์ตลาดในวงกว้างที่มีความไม่แน่นอนและมีการเทขาย ที่มา: TradingView Bitcoin ก็ประสบกับการปรับตัวลงเช่นกัน โดย BTC ลดลง 3.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน การเทขายคริปโทเคอร์เรนซีมักเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น ความเชื่อมั่นของตลาด เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจมหภาค และการเคลื่อนย้ายสินทรัพย์จำนวนมาก การเปรียบเทียบกับ Bitcoin ETF มีการเฝ้าติดตามผลตอบแทนของ ETH ETF อย่างใกล้ชิดเพื่อเปรียบเทียบกับ Bitcoin ETF ก่อนหน้านี้ Bitcoin ETF เคยประสบกับความท้าทายในรูปแบบของตัวเองมาแล้ว ซึ่งรวมไปถึงช่วงที่มีกระแสไหลออกและปฏิกิริยาของตลาด การเปรียบเทียบเน้นย้ำถึงความคล้ายคลึงและความแตกต่างบางประการในการตอบสนองของนักลงทุนต่อ ETF ทั้ง 2 ประเภท ราคาของ ETH ลดลง 8.24% ภายในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากเปิดตัว ในขณะที่ Bitcoin ก็ลดลงเช่นกัน แต่ในปริมาณที่น้อยกว่า สิ่งนี้บ่งชี้ว่า ETH ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ใหม่กว่าและอาจมีความผันผวนมากกว่า จึงมีความอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวราคาที่รุนแรงและต่อความเชื่อมั่นของตลาดมากกว่า เทรนด์ตลาดในวงกว้าง การเปิดตัว ETH ETF เกิดขึ้นพร้อมๆ กับเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ ในตลาด เช่น มูลค่าตามราคาตลาดทั้งหมดของคริปโทเคอร์เรนซีลดลง 2.2% เหลือ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงเทรนด์ตลาดในวงกว้าง ในทางบวก ตลาด Stablecoin มีแนวโน้มเติบโต มูลค่าตามราคาตลาดทั้งหมดของ Stablecoin เพิ่มขึ้นเป็น 1.56 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากซบเซามาถึง 3 เดือน การเติบโตนี้ถือเป็นสัญญาณของการมีส่วนร่วมและกิจกรรมของผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นใน DeFi ที่มา: Artemis ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

เหตุผลที่ควรรอคอยการอนุมัติ Bitcoin ETF ในสหรัฐอเมริกา

คุณอาจรู้สึกสับสนกับคำว่า ETF มากเกินไป และอาจถึงขั้นคิดว่า 'โอ้พระเจ้า เรื่องไร้สาระของ ETF อีกแล้ว' ใช่แล้ว เราได้ยินคุณและเราเข้าใจ พิจารณานี่เป็นคำแนะนำเดียวของคุณเกี่ยวกับสปอต Bitcoin ETFs ที่กำลังฮือฮา; เรื่องนี้จะสั้นและไพเราะ คุณเข้าใจคำพูดของเรา โฆษณาเกินจริง ความคาดหวัง ความหวัง - ทุกอย่างเหมือนกัน เรามี Bitcoin ETF ไม่กี่แห่งที่ได้รับการอนุมัติในเขตอำนาจศาลอื่นๆ: หกแห่งในแคนาดา โดยที่ใหญ่ที่สุดคือ Purpose Bitcoin ETF (BTCC) ห้าแห่งในเจอร์ซีย์ สามแห่งในเกิร์นซีย์ สองแห่งในเยอรมนี/สวิตเซอร์แลนด์/บราซิล หนึ่งแห่งในลิกเตนสไตน์/ออสเตรเลีย . นั่นคือสี่ประเทศในกลุ่ม G20 และสี่ประเทศปลอดภาษี หาก Bitcoin ETF แห่งอื่นได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกา ราคา Bitcoin มีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงขึ้นเนื่องจาก: (1) หมายความว่าจะมีการหลั่งไหลเข้าสู่ Bitcoin อย่างน้อย 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลชั้นนำของ crypto ที่มีอำนาจเหนือกว่า 40%++ ในพื้นที่นี้ เรากำลังพูดถึงยักษ์ใหญ่ทางการเงิน กองทุนบำเหน็จบำนาญ และแม้แต่บริษัทที่จะพิจารณาเพิ่ม Bitcoin (ผ่านสปอต Bitcoin ETFs) ในแผน 401(k) ของพวกเขาในเร็วๆ นี้ (2) ในที่สุดตลาดการเงินหลักแห่งหนึ่งก็ยอมรับ Bitcoin ว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงินกระแสหลัก (3)อีกก้าวหนึ่งสู่กฎระเบียบ crypto ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเขตอำนาจศาลหลัก ผลกระทบโดยตรงของตัวเลข (1) คือปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่สภาพคล่องที่ดีขึ้น ราคาที่มั่นคง และท้ายที่สุดคือการกำหนดมูลค่ายุติธรรมของ Bitcoin ในขณะเดียวกัน คาดว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งสถาบันและรายบุคคลจะเพิ่มขึ้นด้วย (2) และ (3) แน่นอนว่ามันจะส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าสู่ Bitcoin และตลาด crypto โดยทั่วไปมากขึ้น โปรดกลับไปที่ผลกระทบของตัวเลข (1) เพื่อดูว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร ตอนนี้คุณคงเข้าใจแล้วว่าทำไม 'spot Bitcoin ETFs' จึงเป็นที่กล่าวขานของเมืองตั้งแต่ปี 2023 จนถึงปีใหม่ 2024 หากคุณเป็นนักลงทุน Crypto รายบุคคล แม้ว่าคุณจะเป็นนักลงทุน crypto รายบุคคลที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา แต่ทั้งสามประเด็นที่กล่าวถึงข้างต้นจะยังคงให้บริการคุณในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ด้วยความเป็นไปได้ที่จะได้รับการอนุมัติจาก ETF ในต้นสัปดาห์หน้า และ Bitcoin halving ครั้งที่สี่ในเดือนเมษายน ยิ่งไปกว่านั้น เรามีเหตุผลทุกประการที่จะเดิมพันราคา Bitcoin ที่ทะลุกรอบ เพียงหนึ่งปีที่แล้ว เราถึงวาระที่จะมี Bitcoin มูลค่า 16,000 ดอลลาร์สหรัฐแล้ว - ตอนนี้เราได้ทะลุ 45,000 ดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว เกือบ 200% ในหนึ่งปี? ไม่มีสินทรัพย์ TradFi ใดที่สามารถเสนอตัวเลขที่ใกล้เคียงได้ อย่าลืมว่า Bitcoin มีอุปทานที่จำกัด ดังนั้น ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดระยะกลางและระยะยาวที่ราคาเริ่มมีเสถียรภาพและมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น ยังคงเป็นไปได้ที่มูลค่ายุติธรรมของ Bitcoin จะจบลงที่สูงกว่า 50,000 เหรียญสหรัฐ แก๊ง Bitcoin มูลค่าน้อยกว่า 50,000 เหรียญสหรัฐของเราอยู่ที่ไหน? ความตื่นเต้นเกี่ยวกับการอนุมัติ Bitcoin ETF ในสหรัฐอเมริกานำมาซึ่งโอกาสทองสำหรับสถาบันและบุคคลทั่วไป โดยไม่คำนึงถึงสถานที่ตั้งและความพร้อมของเงินทุน เราอาจระวังความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนสูงของ Bitcoin แม้หลังจากทั้งหมดนี้ แต่โปรดจำไว้ว่าเมื่อข่าวลดลง เงินที่ 'ใหญ่' และ 'ฉลาด' จะแบ่งปันความเสี่ยงเหล่านั้นกับเราเช่นกัน ซึ่งหมายความว่าเรือลำนี้ไม่สามารถและ จะไม่จม นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่! ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ crypto ETFs หรือไม่? ตรวจสอบบทความของเราด้านล่าง: ETF คริปโตคืออะไร เหตุใด Bitcoin ETF จาก BlackRock และ Fidelity จึงมีความสำคัญต่อตลาดคริปโต การคาดการณ์ว่า Bitcoin ETF จะได้รับการอนุมัติจุดประกายความคาดหวังในทางบวก และผลักดันให้ราคาพุ่งขึ้น ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

Bitcoin ราคาร่วงลงไปสั้นๆ แต่รวดเร็วเหลือ $40,400 และเกิดการ Liquidate (บังคับขาย) ในตลาด 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในขณะที่เรากำลังนับถอยหลังสู่อีเวนต์ Bitcoin Halving อยู่ทุกๆ วัน ราคาของ Bitcoin ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการสะดุดอยู่บ้างก็ตาม อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าของวันที่ 11 ธันวาคม ก็เกิดการเทขายที่ไม่คาดคิดในขณะที่ตลาดไม่ทันตั้งตัว การเปลี่ยนแปลงที่ฉับพลันและรุนแรงนี้เกิดจากอะไรกันแน่ มาดูสาเหตุที่เป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดนี้กัน “ทำไมราคาถึงร่วง”: คำเตือนสำหรับนักลงทุนสายโลภ บางทีนี่อาจเป็นหนึ่งในคำถามที่พบบ่อยที่สุดในปัจจุบัน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ราคาของ Bitcoin พุ่งสูงขึ้นไปอยู่เหนือ US$44,000 เนื่องจากเทรนด์ขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ซึ่งอาจได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ BlackRock กำลังดำเนินการเกี่ยวกับ Bitcoin ETF อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนไปในเช้าวันที่ 11 ธันวาคม 2023 จู่ๆ Bitcoin ก็ลดลงอย่างกะทันหันจาก US$42,000 เหลือ US$40,400 จากนั้นก็ดีดตัวกลับอย่างรวดเร็วมาอยู่ที่ US$42,190 ณ ขณะที่เขียนบทความนี้ โดยถึงแม้จะมีการรีบาวด์ แต่ช่วงเวลาที่ปั่นป่วนผิดธรรมดานี้ ก็ทำให้มีการสูญเสีย Position ที่ใช้เลเวอเรจจำนวนมาก ส่งผลให้มีการ Liquidation (การบังคับขาย) Position คิดเป็นมูลค่าทั้งหมดเกือบ 409 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แค่ Bitcoin เพียงอย่างเดียวก็มีส่วนถึง 104 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประกอบด้วย 90.72 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน Long Position และ 13.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน Short Position ตามรายงานของ CoinGlass ความวุ่นวายนี้ส่งผลกระทบต่อนักเทรดมากกว่า 119,000 ราย (ที่มา: https://www.coinglass.com/LiquidationData) คริปโทเคอร์เรนซีที่ได้รับผลกระทบ การลดลงอย่างกะทันหันของ Bitcoin และดีดตัวกลับอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบเป็นระลอกคลื่นต่อ Altcoin อื่นๆ ด้วย นอกจาก Bitcoin แล้ว ยังมีโทเค็นอีกสี่รายการ ได้แก่ ETH, SOL, XRP และ DOGE ที่เผชิญกับ Liquidation (การบังคับขาย) ครั้งใหญ่ ในจำนวนนี้ ETH มี Liquidation (การบังคับขาย) สูงสุดที่ 82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วย SOL ที่ 23.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่มา: https://www.coinglass.com/LiquidationData ณ ตอนนี้ การร่วงครั้งล่าสุดนี้ในตลาดคริปโตอาจไม่มีคำอธิบายโดยตรง แต่สาเหตุหลักมาจากความเป็นไปได้ 3 ประการ ดังนี้ ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาที่ใกล้จะเปิดเผยและการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) สัปดาห์นี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะประกาศข้อมูลอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาและทำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับนโยบายของปีหน้า โดยมีความเป็นไปได้น้อยลงที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร การประกาศเหล่านี้ซึ่งมีกำหนดในวันพุธก็อาจส่งผลต่อการที่คนเดิมพันไว้หนักว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่มีการประกาศอัตราการว่างงานในเดือนพฤศจิกายน ราคาของ Bitcoin ยังถือว่า “เสถียร” อยู่ในตอนนั้น โดยอัตราการว่างงานลดลงเหลือ 3.7% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 3.9% ที่รายงานในเดือนตุลาคม (ตามข้อมูล จากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ) Deleveraging ของตลาด Richard Galvin ผู้ร่วมก่อตั้ง Digital Asset Capital Management กล่าวว่าการปรับตัวลงของตลาดอาจไม่ได้เชื่อมโยงกับข่าวใดเป็นพิเศษ แต่อาจเป็นผลมาจาก Deleveraging ของตลาด เนื่องจากเลเวอเรจในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก ช่องว่าง Futures ของ Bitcoin ใน Chicago Mercantile Exchange (CME) เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ Willy Woo ให้ความเห็นว่ายังมีช่องว่างในตลาด Futures ของ Bitcoin ที่เทรดใน Chicago Mercantile Exchange (CME) ซึ่งจำเป็นต้องเติมเต็ม เนื่องจาก Futures ของ CME ไม่ได้เทรดกันอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างราคาปิดและราคาเปิดจากการเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin เมื่อตลาดปิด ด้วยความผันผวนนี้ Willy Woo คาดการณ์ว่าราคาของ Bitcoin อาจผันผวนอยู่ระหว่างระดับราคา US$39,000 และ US$41,000 ที่มา: X ติดตามทุกข่าวสารประเด็นร้อนอย่างรวดเร็ว ในตลาดที่ไม่สามารถคาดเดาได้นี้ สิ่งสำคัญคือต้องมีความระมัดระวังเกี่ยวกับข้อมูลและการคาดการณ์จากสื่อและบุคคลที่มีอิทธิพล ราคาของสินทรัพย์อาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ อย่างหลากหลาย และสิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าราคานี้อาจไม่ได้สะท้อนถึงเทรนด์ที่แท้จริงของตลาดเสมอไป ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องทำการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าคุณจะกำลังคิดที่จะใช้ประโยชน์จากราคาที่ร่วงของ Bitcoin หรือเพียงแค่จับตาดูสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน Bitget Academy ก็มุ่งมั่นที่จะให้ข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมและข่าวสารล่าสุดแก่คุณ สำรวจข่าวที่กำลังมาแรงอื่นๆ ที่เรามีให้คุณ: SEC ชะลอ BTC ETF ของ Franklin ส่วน BTC ทะลุ $40k Mint Cash ทำให้ USTC ทะยานขึ้น 400% ได้อย่างไร โทเค็น BRC-20: ก้าวถอยหลังและเดินหน้าต่อ ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

Bitget Hot Takes (13 พฤศจิกายน - 19 พฤศจิกายน)

Bitget Hot Takes คือซีรีส์จดหมายข่าวรายสัปดาห์สุดพิเศษโดย Bitget Academy เป็นคู่มือการเริ่มต้นที่ครอบคลุมสำหรับผู้สนใจคริปโตทุกคน สามารถดู Bitget Hot Takes ล่าสุดได้ที่นี่ ธีมหลัก • BGB ทำลายสถิติที่ US$0.583651 • อัตราเงินเฟ้อสหรัฐชะลอตัวลงเกินคาด • BlackRock ยื่นขอจด Ethereum Spot ETF ส่วน SEC ชะลอการตัดสินใจเรื่อง Bitcoin Spot ETF 2 กอง, การแปลง Bitcoin ETF 1 กอง และ Ethereum Spot ETF 1 กอง • Sam Altman ถูกถอดออกจากบอร์ดบริหาร OpenAI BGB ทำสถิติใหม่ที่ US$0.583651 ในขณะที่ตลาดในวงกว้างประสบกับ Liquidation (การบังคับขาย) กว่า 332 ล้านดอลลาร์สหรัฐในชั่วข้ามคืนเมื่อวันจันทร์ แต่ BGB กลับขึ้นไปทำ All Time High ใหม่ได้เป็นครั้งที่ 6 ในปี 2023 แตะระดับ US$0.583651 ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2023 เป็นการปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์ถึงเกือบ 10% BGB อยู่ในแดนบวกตลอดทั้งสัปดาห์ โดยทำผลตอบแทนได้ดีกว่ากลุ่ม 5 อันดับแรกอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมีการย่อตัวลงมาตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์ ส่งผลให้โทเค็นทั้งหมดที่กล่าวถึงมีระดับความผันผวนเพิ่มขึ้น จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่า BGB ที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุดนั้นมีระดับความผันผวนสูงที่สุด แต่เราก็พอใจ เทรนด์การสะสมกลับตัวช่วงราววันที่ 9-10 พฤศจิกายน ทำให้ BGB มีปริมาณลดลง และด้วยเหตุนี้จึงมีอัตราส่วนปริมาณต่อมูลค่าตามราคาตลาด (VMR) ลดลงด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เรากำลังเห็นสัญญาณของการกลับตัวอีกครั้งสำหรับการสะสมกำลัง และการทำ All Time High (ATH) ใหม่ได้ก็น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้มีปริมาณเพิ่มขึ้น สามารถอ่านบทสรุปการเดินทางอันน่าทึ่งของ BGB ได้ในบทความ BGB ทำ ATH ใหม่ในเดือนพฤศจิกายน (มีหลายภาษา) หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่มาพร้อมกับ BGB ก็สามารถดูได้ในคู่มือนี้ นอกจากนี้เรายังมีบทวิเคราะห์ BGB รายสัปดาห์ในซีรีส์ Bitget Hot Takes และรายเดือนในซีรีส์ BGB Sail: BGB Sail: ฉบับเดือนตุลาคม BGB Sail: ฉบับเดือนกันยายน BGB Sail: ฉบับเดือนสิงหาคม BGB Sail: ฉบับเดือนกรกฎาคม BGB Sail: ฉบับเดือนมิถุนายน BGB Sail: ฉบับเดือนพฤษภาคม BGB Sail: ฉบับเดือนเมษายน BGB Sail: ฉบับเดือนมีนาคม BGB Sail: ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ สัญญาณผสม ความผันผวนล่าสุดในตลาดคริปโตอาจเป็นผลมาจากทั้งข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐที่เป็นบวกและความล่าช้าในการตัดสินใจเกี่ยวกับ ETF คริปโต ราคาในสหรัฐอเมริกายังคงทรงตัวในเดือนตุลาคม ส่งผลให้ CPI ทั่วไปต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2021 แม้ว่าเราจะค่อยๆ ใกล้ถึงเป้าหมาย 2% แต่ FED ก็มีแนวโน้มจะคงอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันไว้ถึงในปี 2024 หากทั้งข้อมูลอัตราเงินเฟ้อและข้อมูลการจ้างงานยังคงบ่งชี้ถึงการหดตัวอยู่ เมื่อดูข้อมูลจาก FedWatch Tool จะเห็นได้ว่าตลาดค่อนข้างแน่ใจเต็มที่ว่าจะไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนธันวาคม ETF คริปโตและหุ้นการขุดคริปโตมีช่วง Rally สั้นๆ ตามตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม การ Rally ล่าสุดก็สะดุดลงจากข่าวการตัดสินใจของ ก.ล.ต. สหรัฐ (SEC) ที่จะชะลอการพิจารณาการยื่นขอจด Bitcoin Spot ETF จาก Franklin Templeton, Global X, Hashdex (ยื่นขอแปลง) และ Ethereum Spot ETF ของ Hashdex ดูเหมือนว่าเราต้องรอจนถึงเดือนมกราคม 2024 เพื่อยืนยันเทรนด์ ส่วนความหวังในเชิงบวกก็เริ่มจางหายไปดังที่เห็นได้จากหุ้นคริปโตตัวหลักๆ เช่น BITO, BITI, BITX และ MSTR ในทางกลับกัน ราคา COIN พุ่งขึ้น 7.9% หลังจากมีข่าวรายงานยอดถือครองของสำนักงานบำนาญแห่งชาติเกาหลีใต้ (National Pension Service: NPS) ซึ่งเป็นกองทุนบำนาญที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 เมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ โดยในรายงานเผยว่าได้เข้าซื้อหุ้น Coinbase มูลค่า 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ข่าวสาร Bitget ล่าสุด นอกเหนือไปจาก BGB ที่เป็นโทเค็นดั้งเดิมของ Bitget ซึ่งพุ่งขึ้นอย่างน่าประทับใจแล้ว เราก็ยังได้เห็นโปรเจกต์ที่คุ้นหน้าคุ้นตาพุ่งขึ้นด้วยเช่นกันในการเทรด Spot บน Bitget ทั้ง MOVER/USDT (ลิสต์ครั้งแรกบน Bitget เมื่อ 14 มีนาคม 2023), CHAPZ/USDT (ลิสต์ครั้งแรกบน Bitget เมื่อ 13 พฤศจิกายน 2023), TYPE/USDT (ลิสต์ครั้งแรกบน Bitget เมื่อ 5 กรกฎาคม 2023) และ TEM/USDT (ลิสต์ครั้งแรกบน Bitget เมื่อ 17 มีนาคม 2023) วันนี้เรากำลังเปิดให้คุณแนะนำโปรเจกต์เข้ามา โดยส่งข้อมูลโปรเจกต์ที่คุณชื่นชอบเข้ามา แล้วรับเลย 100 USDT เมื่อได้ลิสต์บน Bitget! แน่นอนว่าการลิสต์ใน Spot ของเรานั้นมาพร้อมกับดีลที่เป็นของดีเด็ดๆ เสมอ:• Bitget Savings: โทเค็นใหม่จะได้รับการเพิ่มเข้าไปใน Savings Vault ของเราภายในไม่กี่วันหลังจากลิสต์ โดยให้ APR สูงสุดถึง 100% ในระยะเวลาที่จำกัด! • Bitget Launchpool: คล้ายกับ Bitget Savings แต่ตัวเลือกนี้ให้ผู้ที่ถือครอง BGB ได้นำยอดถือครองของตนไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ • ซื้อโทเค็นไร้ธรรมเนียม: เรามีโทเค็นมาใหม่ทุกสัปดาห์ และในช่วง 7 วันแรก คุณสามารถซื้อได้ด้วยบัตรเครดิต/เดบิตโดยไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ สัปดาห์นี้เราได้เพิ่ม GAS เข้ามาในโปรแกรม อย่าปล่อยให้โอกาสดีๆ แบบนี้ผ่านไป! ดีลเด็ดโดนใจรออยู่อีกเพียบ • ลงวันที่ไว้เลยกับดีล Black Friday จาก Bitget สำหรับ ภูมิภาคสหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย, สเปน โปรตุเกส และภูมิภาคลาตินอเมริกา! • ดูโปรแกรมไร้ค่าธรรมเนียมของ Bitget เลย เข้าร่วมได้ทุกวันพุธและทุกสุดสัปดาห์ เฉพาะผู้ใช้ Bitget ที่มีบัตรเครดิต/เดบิตเท่านั้น! • เข้าร่วม Deposit2Win: Mystery Box บรรจุ ETH, BGB, USDT, TIA, T2T2 และ GAS มูลค่า US$50,000 รอให้คุณมาเปิดอยู่! • พิเศษสุดสำหรับนักลงทุนสถาบัน: ฝาก EUR รับ VIP Pass 30 วัน! • Bitget Snowball และ Bitget Smart Trend: ระยะเวลา Subscription ใหม่เริ่มต้นทุกวันจันทร์! • ข้อเสนอสุดพิเศษรายสัปดาห์: APR สูงสุดถึง 10% ใน Bitget Wealthy Tuesday! ปริมาณการเทรดในการเทรด Spot บน Bitget ลดลง 14.2% ตลาด Futures บน Bitget มี OI คริปโตเฉลี่ยหดตัว 8.0% และมี OI ของ Bitcoin เฉลี่ยลดลง 10.5% ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา การปรับตัวลงนี้สะท้อนถึงสัดส่วนการครองตลาดของ Bitcoin ในตลาด Futures ของเราที่ลดลงอีก 2.9% ไปอยู่ที่ 45.7% ซึ่งเป็นผลจากการที่ตลาดชะลอตัวลง ศูนย์รางวัล Bitget อัปเกรดแล้ว ผู้ใช้ใหม่สามารถรับไปฟรีๆ ได้สูงสุดถึง 5,027 USDT พร้อมรับโบนัสเพิ่มเติมเมื่อเข้าสู่ระบบบัญชีของตนทุกวัน สมัครเลยเพื่อรับประโยชน์สูงสุดจากโปรโมชันของเรา! โปรโมชันใหม่ เข้าร่วมทีม Bitget Builder — รับส่วนแบ่งจากงบประมาณสำหรับโปรโมชันออฟไลน์มูลค่า US$20,000 และชิงรางวัลผลิตภัณฑ์ “ตระกูล Apple”! บัญชีสถาบันเท่านั้น: ฝาก EUR รับฟรี VIP Pass 30 วัน! Art de Finance (ADF) จะได้รับการลิสต์บน Bitget เข้าร่วมเพื่อรับส่วนแบ่งจาก 700 ADF เลย! Tenset (10SET) จะได้รับการลิสต์บน Bitget เข้าร่วมแล้วรับส่วนแบ่งจาก 10SET มูลค่า US$15,000 เลย! ฝากเพื่อลิสต์: CREPE Token (CRE) - ฝากแล้วรับส่วนแบ่งจากรางวัล 359,000 CRE! Position Grid เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการ — เข้าร่วมและรับส่วนแบ่งจาก Pool รางวัลมูลค่า 30,000 BGB กันเลย! ศึกจ้าวคริปโต Bitget: กระทิง ปะทะ หมี! แต่งบ้านไปกับรางวัลรับเทศกาล! ฝาก US$100 รับโบนัส US$100! RATS (RATS) จะได้รับการลิสต์บน Bitget เข้าร่วมเพื่อรับส่วนแบ่งจาก 6,000 USDT เลย! อีเวนต์เหรียญยอดนิยม 5: รับส่วนแบ่งจากรางวัล 10,000 USDT และ 10,000 BGB! ทำการเทรด Spot Margin ในเดือนพฤศจิกายนเพื่อรับส่วนแบ่งจาก 60,000 USDT และ Mystery Box! รางวัลสำหรับผู้ใช้ใหม่ — ฝาก IOTX เพื่อรับส่วนแบ่งจาก 380,000 IOTX เริ่มใช้งาน Bot Copy Trading เพื่อรับส่วนแบ่งจาก 50,000 USDT Neutron (NTRN) จะได้รับการลิสต์บน Bitget เข้าร่วมแล้วรับส่วนแบ่งจาก NTRN มูลค่า $6,000 เลย! ฝากเพื่อลิสต์: D3D Social (D3D) - ฝากแล้วรับส่วนแบ่งจากรางวัล 30,000 USDT! Learn2Earn: ทำแบบทดสอบ Verified USD (USDV) เพื่อลุ้นรับรางวัล 20,000 USDV และ 10,000 BGB! Verified USD (USDV) จะได้รับการลิสต์บน Bitget เข้าร่วมเพื่อรับส่วนแบ่งจาก 10,000 USDV เลย! Copy Trading — เชิญผู้ติดตามมาชิงรางวัล 50,000 USDT กัน ชวนอ่าน โทเค็น BRC-20: ก้าวถอยหลังและเดินหน้าต่อ Pyth Network (PYTH): ผู้ปฏิวัติวงการใน DeFi Oracle การแฮ็ก Poloniex, การโจมตี Create2 และการปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัล BGB Sail: ฉบับเดือนตุลาคม มอง Bitcoin ในอนาคต: การคาดการณ์ราคาคริปโทเคอร์เรนซี Bitget เปิดตัวโหมดส่วนตัวสำหรับ Copy Trading โหมดส่วนตัวสำหรับ Copy Trading: เนื้อหาที่ Elite Trader ต้องอ่าน โหมดส่วนตัวของ Bitget: เนื้อหาที่ผู้ติดตามต้องอ่าน เพียงแค่สร้างบัญชี แล้วเริ่มสำรวจ Bitget-Verse ที่น่าทึ่งวันนี้เลย!

การยื่นขอเปิด Bitcoin ETF ของ BlackRock จะกระตุ้นให้เกิดตลาดกระทิงรอบถัดไปหรือไม่

สรุปใจความสำคัญ Spot Bitcoin ETF เป็นกองทุนเปิดที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่ช่วยลดอุปสรรคในการเข้ามาลงทุนใน Bitcoin ของนักลงทุนแบบดั้งเดิมได้อย่างมาก ซึ่งเป็นการเปิดประตูให้เงินทุนแบบดั้งเดิมได้เข้าสู่โลกคริปโต โดยทั่วไปแล้ว Spot Bitcoin ETF จะได้รับการบริหารจัดการโดยบริษัทที่ซื้อและถือกองทุน BTC โดยราคาจะตรึงกับมูลค่าของ BTC ที่ถืออยู่ จากสถิติในปี 2021 มีสถาบัน 19 แห่งที่ยื่นขอเปิด Bitcoin Spot ETF อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (Securities and Exchange Commission: SEC) ยังไม่ได้อนุมัติให้บริษัทใดจดทะเบียน การอนุมัติ Bitcoin Spot ETF ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ผู้คนรอคอยสำหรับตลาดคริปโต โดยเป็นการช่วยให้สถาบันการเงินและนักลงทุนรายย่อยเข้าถึง Bitcoin ได้สะดวกยิ่งขึ้น เพิ่มสภาพคล่องในตลาดคริปโต และลดความเสี่ยงในการลงทุนโดยรวม นอกจากนี้ยังจะช่วยเร่งกระบวนการการปฏิบัติตามกฎระเบียบสำหรับ Bitcoin ทั่วโลก อีกทั้งเพิ่มการยอมรับและการนำไปใช้งานของสินทรัพย์คริปโต เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2023 iShares ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ BlackRock ยักษ์ใหญ่ด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ระดับโลกได้ยื่นขอเปิด Bitcoin Spot ETF ต่อ SEC และเพื่อตั้งชื่อกองทุนเป็น iShares Bitcoin Trust สินทรัพย์ของกองทุนจะประกอบด้วย Bitcoin ที่ถือโดยบริการดูแลรักษาสินทรัพย์ของทรัสต์เป็นหลัก โดยข่าวดีนี้ ส่งผลให้ราคาของ Bitcoin พุ่งทะลุ US$30,000 ซึ่งเป็น New High ของปี 2023 แล้ว Bitcoin Spot ETF คืออะไร ทำงานอย่างไร และเหตุใดจึงกระตุ้นให้ราคา Bitcoin เพิ่มขึ้น บทความนี้จะให้คำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับ Bitcoin Spot ETF รวมถึงความสำคัญที่มีต่ออุตสาหกรรมคริปโต Bitcoin Spot ETF คืออะไร ก่อนที่เราจะเจาะลึกถึง Bitcoin Spot ETF เราจะมาเริ่มอธิบายว่า ETF คืออะไรกันก่อน ETF มีชื่อเต็มว่า Exchange-Traded Fund (กองทุนเปิดที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์) เป็นผลิตภัณฑ์หลักทรัพย์ประเภทหนึ่งที่สามารถติดตามราคาของสินทรัพย์อ้างอิง เช่น หุ้น ตราสารหนี้ และสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งค่อนข้างคล้ายกับสิ่งที่เรารู้จักในฐานะกองทุน อย่างไรก็ตาม ETF ต่างจากกองทุนตรงที่สามารถซื้อหรือขายได้อย่างอิสระบนแพลตฟอร์มเทรด ในทางกลับกัน Bitcoin Spot ETF นั้นเป็น ETF รูปแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อติดตามราคา Spot ของ Bitcoin โดยราคาและความผันผวนของ Bitcoin Spot ETF จะเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับราคาและความผันผวนของตลาด Spot ของ Bitcoin ซึ่งหมายความว่าเมื่อราคา Bitcoin สูงขึ้น ราคา Bitcoin ETF ก็จะสูงขึ้นเช่นกัน ในทางกลับกัน หากราคา Bitcoin ลดลง ราคา ETF ก็จะลดลงเช่นกัน Bitcoin Spot ETF นั้นแตกต่างจากวิธีการเทรด Bitcoin แบบดั้งเดิม โดยจะเปิดโอกาสให้ให้นักลงทุนสามารถลงทุนและเทรด Bitcoin ผ่านบัญชีหลักทรัพย์แบบดั้งเดิมได้โดยไม่จำเป็นต้องซื้อและถือ Bitcoin โดยตรง ซึ่งช่วยลดอุปสรรคสำหรับสถาบันและนักลงทุนรายย่อยในการลงทุนใน Bitcoin ได้อย่างมาก นอกจากนี้ Bitcoin Spot ETF ยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องและความโปร่งใส รวมถึงให้ตัวเลือกการเทรดที่เข้าถึงได้มากขึ้น Bitcoin Spot ETF มีประโยชน์อะไรบ้างต่อตลาด ลดอุปสรรคในการเข้าเทรดสำหรับนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยที่ต้องการลงทุนใน Bitcoin เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดการเงินแบบดั้งเดิม การลงทุนใน Bitcoin อาจมีความซับซ้อน และกำหนดให้นักลงทุนต้องซื้อ จัดเก็บ และถือ Bitcoin ด้วยตนเอง ซึ่งทำให้เกิดอุปสรรคและความเสี่ยงสำหรับสถาบันและนักลงทุนรายย่อยจากตลาดการเงินแบบดั้งเดิม ในทางกลับกัน Bitcoin Spot ETF สามารถเทรดบนตลาดหลักทรัพย์ได้ ทำให้นักลงทุนสามารถเปิด Position สำหรับ Bitcoin ได้ง่ายขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเรียนรู้เพิ่มเติม และสามารถมีส่วนร่วมในการลงทุน Bitcoin ได้เหมือนกับการซื้อหุ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่อง Private Key, พื้นที่เก็บข้อมูล หรือปัญหาด้านความปลอดภัย สภาพคล่องและความเสถียรที่เพิ่มขึ้นในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี การจดทะเบียนและการเทรด Bitcoin Spot ETF สามารถเพิ่มการเป็นที่ยอมรับของ Bitcoin ในตลาดการเงินแบบดั้งเดิม ซึ่งจะช่วยผลักดันให้มีการใช้งานและความนิยมมากขึ้น และยังสามารถดึงดูดการมีส่วนร่วมของนักลงทุนแบบดั้งเดิมได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องของตลาดโดยรวม นอกจากนี้ ETF ยังยกระดับความโปร่งใสและเสถียรภาพในตลาดคริปโต ซึ่งจะลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในคริปโต และมีส่วนช่วยในการพัฒนาตลาด เร่งการปฏิบัติตามกฎระเบียบในตลาดคริปโต ความสำเร็จในการอนุมัติให้เปิด Bitcoin Spot ETF จะบ่งบอกว่าตลาดคริปโตกำลังค่อยๆ ย้ายมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลด้านกฎระเบียบ โดยที่การปฏิบัติตามกฎระเบียบได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่งของการยอมรับ Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ ในตลาดการเงินแบบดั้งเดิม Bitcoin ETF ทำงานอย่างไร โดยทั่วไปแล้ว Bitcoin Spot ETF จะได้รับการจัดการโดยบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ ซึ่งซื้อและถือ Bitcoin จริง อีกทั้งติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาด Bitcoin ผ่านการเทรดบนแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน เป็นผลให้ราคาของ ETF ถูกตรึงกับราคาของ Bitcoin ที่ถืออยู่ในกองทุนและสะท้อนถึงความผันผวนของตลาด บริษัทจะจดทะเบียน ETF ในตลาดหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม และนักลงทุนก็สามารถเทรด Bitcoin ETF ได้เหมือนกับการเทรดหุ้นอื่นๆ สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ Bitcoin Spot ETF ต่างๆ อาจใช้กลยุทธ์และเครื่องมือการลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งนำไปสู่ความแตกต่างระหว่างกองทุนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ภาพรวมของการยื่นขอเปิด Bitcoin Spot ETF ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Bitcoin Spot ETF เป็นช่องทางสำหรับนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยในการลงทุนใน Bitcoin ในลักษณะที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับ น่าเสียดายที่ในปี 2021 มีสถาบัน 19 แห่งได้ยื่นขอเปิด Bitcoin Spot ETF แต่ SEC ยังไม่ได้อนุมัติสถาบันใดให้จดทะเบียน สรุปปิดท้าย ในขณะที่ SEC ได้ปฏิเสธความพยายามหลายครั้งของบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ในการจัดตั้ง Bitcoin Spot ETF แต่ Bitcoin Futures ETF หลายแห่งได้รับการอนุมัติและมีการเทรดกันอยู่ ซึ่งบ่งชี้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ กำลังค่อยๆ ผ่อนคลายข้อจำกัดเกี่ยวกับ ETF สำหรับคริปโทเคอร์เรนซี โดยแม้ว่า Futures ETF และ Spot ETF จะมีความแตกต่างกัน แต่นี่ก็เป็นสัญญาณเชิงบวกอย่างไม่ต้องสงสัย สถาบันรายใหญ่หลายแห่งยังคงพยายามยื่นขอเปิด Bitcoin Spot ETF อย่างแข็งขัน ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ บริษัทสามแห่ง รวมถึง BlackRock ยักษ์ใหญ่ด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ ได้ยื่นขอเปิด Bitcoin Spot ETF ต่อ SEC และถึงแม้ว่า SEC จะยังไม่ได้ให้อนุมัติแก่บริษัทใดๆ แต่นี่อาจบ่งชี้ว่า Bitcoin Spot ETF นั้นอยู่ไม่ไกลจากความเป็นจริงแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเรื่องนี้จะช่วยเร่งการกลับมาของตลาดกระทิงครั้งถัดไปหรือไม่ เราจะต้องรอดูกันต่อไป! หากยังไม่ได้เป็น Bitgetter สมัครเพื่อเริ่มต้นการเดินทางของคุณสู่โลกคริปโตได้เลย! ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรดแต่อย่างใด ขอแนะนำให้คุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนทำการตัดสินใจใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

การยื่นขอจดทะเบียน Spot ETH ETF ของ BlackRock กับ Nasdaq

สรุปใจความสำคัญ - BlackRock ยื่นขอจดทะเบียน Spot ETH ETF กับ Nasdaq ไปเมื่อเร็วๆ นี้ - การเคลื่อนไหวครั้งนี้ส่งผลให้เทรนด์ความสนใจใน ETF คริปโตเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก - การที่ “BlackRock” บริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ยื่นขอจดทะเบียน Spot ETH ETF ส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อตลาดการเงินในวงกว้าง โดยผลกระทบแง่หนึ่งที่เกิดขึ้นในทันที คือ การเพิ่มขึ้นของราคา ETH สู่จุดสูงสุดในรอบ 6 เดือน ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง เมื่อ BlackRock บริษัทจัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ยื่นขอจดทะเบียน Spot Ether ETF เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน การเคลื่อนไหวครั้งนี้ส่งผลให้เทรนด์ความสนใจใน ETF คริปโตเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก เป็นดั่งสัญญาณของความคืบหน้าอย่างรวดเร็วในด้านการยอมรับคริปโตจากรัฐบาลและสถาบันต่างๆ การเคลื่อนไหวฉับไวสู่ ETH ของ BlackRock เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน มีข่าวแพร่สะพัดว่า BlackRock ได้จดทะเบียน Ethereum Trust ที่ชื่อ “iShares Ethereum Trust” ในเดลาแวร์ การเคลื่อนไหวดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดการเงินที่เกี่ยวข้องกับ Spot Ether ETF ที่มีศักยภาพ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ในวันรุ่งขึ้น BlackRock ได้ยื่นขอจดทะเบียน Spot Ether ETF กับ Nasdaq อย่างฉับไว กล่าวได้ว่า ความก้าวหน้าอันรวดเร็วตั้งแต่การจดทะเบียน Ethereum Trust ไปจนถึงการยื่นขอจดทะเบียน ETF ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงนี้ ตอกย้ำให้เห็นถึงแนวทางเชิงรุกอันน่าประทับใจของ BlackRock และความมุ่งหวังที่จะอยู่ในแนวหน้าของภูมิทัศน์คริปโตที่กำลังพัฒนาแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ การตัดสินใจยื่นจด Spot Ether ETF กับ Nasdaq ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำของโลกก็นับเป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่กล้าหาญเลยทีเดียว ถือว่า BlackRock ได้แสดงจุดยืนในฐานะผู้บุกเบิกด้านการเชื่อมโยงระบบการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านการดำเนินการอันแน่วแน่เพื่อนำ ETF ที่เน้นคริปโทเคอร์เรนซีเข้ามาสู่ตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง กระแส ETF คริปโตทั่วโลก ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังพบเจอการพัฒนาอย่างรวดเร็วของ ETF ที่เกี่ยวข้องกับคริปโต โดยเน้นไปที่การยื่นจดทะเบียน Spot Bitcoin ETF ในสหรัฐอเมริกาเป็นพิเศษ “BlackRock” ผู้เล่นหลักในกระแสความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ได้ทำการยื่นขอจด Spot Bitcoin ETF ไปในช่วงฤดูร้อนปี 2023 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อตลาดคริปโต หลังจากการดำเนินการในครั้งนั้นของ BlackRock บริษัทจัดการสินทรัพย์อีกหลายแห่ง เช่น Fidelity, Invesco, VanEck, Cathie Wood's Ark และอีกมากมายต่างได้ตัดสินใจส่งเอกสารยื่นขอจดทะเบียน Spot Bitcoin ETF หรือส่งเอกสารซ้ำอีกครั้งเพื่อให้บรรลุความตั้งใจดังกล่าว เมื่อเดือนที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (Securities and Exchange Commission: SEC) ได้อนุมัติ Futures Ether ETF รายการแรกในสหรัฐอเมริกา ซึ่งการให้ “ไฟเขียว” ด้านการกำกับดูแลนี้เองสะท้อนให้เห็นถึงความเต็มใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นภายในหน่วยงานทางการเงินที่จะยอมรับและผสานรวมคริปโทเคอร์เรนซีเข้ากับกรอบการทำงานที่ชัดเจนของตลาดดั้งเดิม เทรนด์ทั่วโลกเริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้นจากการให้ไฟเขียวหรืออนุมัติ Spot ETF คริปโตในฮ่องกงที่เกิดขึ้นไปเมื่อเร็วๆ นี้ บ่งชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงระดับโลกไปสู่การรับรู้และผสานรวมสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ากับตลาดการเงินแบบดั้งเดิม กล่าวได้ว่า เหตุการณ์นี้เองแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติแห่งความไร้พรมแดนของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี โดยมีหน่วยงานด้านการกำกับดูแลทั่วโลกพยายามปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์ทางการเงินที่พัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่องนี้ต่อไป ท่ามกลางการพัฒนาระดับโลกเหล่านี้ ในด้านของ “Grayscale” บริษัทจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลอันโด่งดังก็ได้ยื่นคำร้องเพื่อแปลง Ethereum Trust ให้เป็น Spot ETF ไปในเดือนตุลาคม 2023 เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การยื่นคำร้องในครั้งนี้กลับมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม BlackRock ผู้มีชื่อเสียงในด้านความสำเร็จที่ไม่มีใครเทียบได้ในการได้รับอนุมัติคำขอต่างๆ ได้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดโดยยื่นขอจดทะเบียน Spot ETH ETF กับ Nasdaq ทำให้เกิดการพัฒนาครั้งสำคัญในวงการคริปโตขึ้นอีกครั้ง การมีส่วนร่วมของ BlackRock ในด้าน Spot ETH ETF ช่วยเพิ่มน้ำหนักความสำคัญอย่างมากให้กับประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับ ETF คริปโทเคอร์เรนซีที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน กล่าวคือ ตำแหน่งอันทรงอิทธิพลของบริษัทและประวัติความสำเร็จที่ชัดเจนในเซกเตอร์การเงินแบบดั้งเดิมได้ตอกย้ำให้การก้าวเข้าสู่วงการสินทรัพย์ดิจิทัลของ BlackRock ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ผลกระทบในตลาดจากการยื่นจดทะเบียน Spot ETH ETF ของ BlackRock การยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้ง Spot ETH ETF ของ BlackRock เมื่อเร็วๆ นี้ ได้สร้างกระแสอย่างรุนแรงภายในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี โดยมีผลกระทบที่เกิดขึ้นในทันทีและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ในหลายๆ ด้าน ดังต่อไปนี้ ราคา ETH พุ่งขึ้นในทันที ผลกระทบที่เกิดขึ้นในทันทีจากการยื่นจดทะเบียน Spot ETH ETF ของ BlackRock คือ ราคาของ ETH ที่พุ่งสูงขึ้น ข่าวดังกล่าวทำให้ราคา Ether เพิ่มขึ้นอย่างมากภายในระยะเวลาอันสั้น โดยพุ่งขึ้นเกือบถึง 10% และไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่า ปฏิกิริยาของตลาดที่เกิดขึ้นในทันทีนี้ได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการเข้าสู่เวที ETH ETF ของ BlackRock และความเชื่อมั่นโดยรวมในเชิงบวกที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในคริปโต บรรทัดฐานด้านการกำกับดูแลและผลกระทบต่อคู่แข่ง การยื่นจดทะเบียนของ BlackRock ได้สร้างบรรทัดฐานด้านการกำกับดูแลสำหรับ ETF ที่เน้น Ether โดยเฉพาะ ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวทางที่หน่วยงานด้านการกำกับดูแลจะเลือกใช้กับข้อเสนอใดๆ ที่คล้ายกันจากหน่วยงานอื่นๆ ทั้งนี้ การโต้ตอบของ ก.ล.ต. ต่อการยื่นจดทะเบียนของ BlackRock ก็สามารถนำมาใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการตัดสินใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันในอนาคตได้อีกด้วย นอกจากนั้น การเคลื่อนไหวของ BlackRock ในครั้งนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อคู่แข่งและกระตุ้นให้พวกเขาเร่งดำเนินการแผน ETF ของตนเพื่อให้อยู่ในจุดที่สามารถแข่งขันได้ในภูมิทัศน์ที่กำลังพัฒนาแห่งนี้ โอกาสในการขยายตลาด การเข้ามามีบทบาทของ BlackRock ใน Spot ETH ETF สามารถปูทางไปสู่การขยายตลาดเพิ่มเติมได้ กล่าวคือ การยื่นจดทะเบียนนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดความสนใจเพิ่มขึ้นในสถาบันต่างๆ รวมถึงเพิ่มการมีส่วนร่วมในตลาดคริปโตได้อีกด้วย เนื่องจาก ETF พร้อมให้เครื่องมือการลงทุนที่เข้าถึงได้และเป็นที่คุ้นเคยมากกว่าเดิมสำหรับนักลงทุนทั่วไปทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น โอกาสที่กลุ่มสถาบันจะเข้ามามีบทบาทในตลาดคริปโตกันมากขึ้นนี้เองก็ยังมีศักยภาพในการทำให้ตลาดคริปโตพัฒนาและมีเสถียรภาพยิ่งขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ การยื่นจด Spot ETH ETF ยังเปิดช่องทางใหม่สำหรับนักลงทุนรายย่อย เพื่อการเข้าถึงและรับผลประโยชน์จาก ETH ในแนวทางแบบดั้งเดิมโดยที่ไม่ต้องถือครองสินทรัพย์โดยตรงได้อีกต่างหาก กล่าวได้ว่า การเข้าถึงที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นนี้จะสามารถดึงดูดนักลงทุนที่หลากหลายเข้ามาสู่ตลาดคริปโตได้อย่างแน่นอน แรงกระเพื่อมแห่งการแข่งขัน การที่ BlackRock เดินหน้าเข้าสู่เวที Spot ETH ETF ไม่เพียงแต่เพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างเวทีสำหรับการแข่งขันที่สูงขึ้นระหว่างบริษัทจัดการสินทรัพย์อีกด้วย ในขณะที่องค์กรรายอื่นปฏิบัติตามการเคลื่อนไหวของ BlackRock ทางเลือกการลงทุนคริปโตในตลาดก็มีแนวโน้มที่จะเกิดความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยขยายขอบเขตการลงทุนในคริปโตต่อไป อย่างไรก็ดี การแข่งขันนี้จะเป็นประโยชน์แก่นักลงทุน เนื่องจากจะมีการให้บริการผลิตภัณฑ์การลงทุนคริปโตที่หลากหลายพร้อมกลยุทธ์ แบบบันทึกข้อมูลบัญชีความเสี่ยง (Risk Profile) และโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน นักลงทุนจึงสามารถเลือกลงทุนจากตัวเลือกต่างๆ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้กันได้เลย นอกจากนี้ ความแพร่หลายของ ETF คริปโตยังช่วยให้ตลาดเติบโตได้อีกด้วย เพราะถือเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงการรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นว่า สินทรัพย์ชนิดนี้เป็นประเภทสินทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีความหลากหลายพร้อมให้เลือกใช้งาน ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน