การคาดการณ์จากสถาบันและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการประเมินมูลค่า: $100K, $1M, $3M

 

การคาดการณ์ราคาจากสถาบันว่า Bitcoin จะข้ามระดับ $100,000 ได้นั้นมีข้อมูลสนับสนุนจากการวิเคราะห์ที่เข้มงวด ซึ่งมักจะมีที่มาจากโมเดลการประเมินมูลค่าที่กล่าวถึงในบทความนี้ การคาดการณ์เหล่านี้จัดคุณลักษณะของ Bitcoin ให้สอดคล้องกับกรอบการดำเนินงานทางการเงินที่ได้รับการยอมรับเพื่อการให้เหตุผลทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในด้านการเติบโตของเหรียญ

 

VanEck: ความขาดแคลนและพลวัตของทองคำดิจิทัล

VanEck คาดการณ์ว่าราคาของ Bitcoin จะไปถึง $180,000 ภายในปี 2025 โดยมีพื้นฐานจากหลักการที่สอดคล้องกับโมเดลการประเมินมูลค่าหลักๆ เช่น Stock-to-Flow, กฎของ Metcalfe, โมเดลต้นทุนการผลิต และโมเดล Total Addressable Market (TAM)

หัวใจสำคัญในการวิเคราะห์ของ VanEck คือเพดานอุปทานตายตัวของ Bitcoin ที่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นคุณสมบัติหลักที่สะท้อนถึงการมีอยู่อย่างจำกัดของทองคำ อย่างไรก็ตาม Bitcoin ยังก้าวไปไกลกว่านั้นด้วย Halving ตามที่ตั้งเงื่อนไขไว้ เช่น เหตุการณ์เมื่อเดือนเมษายน 2024 ที่ลดรางวัลบล็อกลงเหลือ 3.125 BTC โดยที่ Halving นี้มีผลทำให้อุปทานใหม่ของ Bitcoin ลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนยิ่งขึ้นและทำให้อัตราส่วน Stock-to-Flow เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเป็นประมาณ 120 ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ตามที่เน้นชัดในโมเดล Stock-to-Flow ความขาดแคลนนี้เป็นแรงผลักดันให้ราคาพุ่งขึ้นโดยตรงและสนับสนุนให้ราคา Bitcoin มีวิถีพุ่งไปที่ $180,000

นอกจากนี้ VanEck ยังเน้นย้ำถึงการนำ Bitcoin ไปใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญตามกฎของ Metcalfe บริษัทนี้สังเกตเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในการมีส่วนร่วมจากทั้งรายย่อยและสถาบัน โดยปัจจุบันมี Bitcoin มูลค่า 1.43 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐถือกันอยู่ในทั้งกอง ETF, บริษัทมหาชนและเอกชน ไปจนถึงเป็นทุนสำรองของประเทศ กิจกรรมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นชนิดยกกำลังเช่นนี้ เมื่อประกอบกับการอนุมัติ Spot Bitcoin ETF ด้วยแล้วนั้นก็สอดคล้องกับกฎของ Metcalfe ที่เชื่อมโยงการขยายฐานผู้ใช้และอานุภาพของเครือข่ายเข้ากับการเติบโตด้านมูลค่าแบบยกกำลัง การพัฒนาโซลูชัน Layer-2 ต่างๆ เช่น Lightning Network และโปรโตคอล RGB ช่วยขยายผลเหล่านี้ให้เด่นชัดมากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้มีนวัตกรรมต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านการ Tokenize และสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้ Bitcoin เป็นเครือข่ายที่ดำเนินงานได้ดีและมีความหลากหลายยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ โมเดล Total Addressable Market (TAM) ยังยืนยันการคาดการณ์ของ VanEck อีกด้วยเช่นกัน โดยวางตำแหน่ง Bitcoin ไว้ในตลาดมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าตามราคาตลาดของ Bitcoin ในปัจจุบันสะท้อนเพียงเศษเสี้ยวเล็กน้อยเท่านั้นของศักยภาพส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มสินทรัพย์ต่างๆ อย่างทองคำ สกุลเงิน Fiat และระบบการเงินที่ผ่านการ Tokenize การทำให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุน Bitcoin ได้ผ่าน ETF ที่ได้รับการกำกับดูแลนั้นทำให้เข้าถึงผู้คนได้กว้างขวางยิ่งขึ้นและมีสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้น ช่วยให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อส่วนแบ่งที่ใหญ่ขึ้นในระบบนิเวศการเงินโลก

สุดท้าย โมเดลต้นทุนการผลิตก็ให้มุมมองเพิ่มเติมในการทำความเข้าใจความเคลื่อนไหวด้านราคาของ Bitcoin ด้วย การเกิด Halving ในปี 2024 นั้นทำให้ต้นทุนของนักขุดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการที่จะได้รางวัลบล็อกลดลง ผลักดันให้ต้นทุนการผลิตทั่วโลกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ $85,000 ดังที่ VanEck ระบุไว้ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นนี้ทำให้มีพื้นฐานราคาที่สูงขึ้น ซึ่งช่วยให้มูลค่าของ Bitcoin จะยังคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน แม้ว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นและอุปทานจะตึงตัวก็ตาม

 

Bernstein Research: การใช้งานแบบยกกำลังและตัวเร่งปฏิกิริยาจากสถาบัน

การคาดการณ์ของ Bernstein ที่ว่า Bitcoin จะไปถึง $200,000 ภายในสิ้นปี 2025 ในยุคใหม่ที่สถาบันครองตลาดและมีอานุภาพของเครือข่ายแบบยกกำลังนั้นมีข้อมูลสนับสนุนจากโมเดลการประเมินมูลค่าต่างๆ เช่น กฎของ Metcalfe, โมเดลต้นทุนการผลิต และโมเดล Stock-to-Flow รายงาน 160 หน้าเน้นย้ำถึงบทบาทของนักลงทุนสถาบัน โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงิน 1.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐไหลเข้าสู่ Bitcoin ETF ภายในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้น 3 เท่าจาก 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปี 2024 ทาง Bernstein โต้แย้งว่าความต้องการเชิงโครงสร้างนี้จะช่วยยกระดับ Bitcoin จากสินทรัพย์เฉพาะกลุ่มให้กลายเป็นเสาหลักทางการเงินในกระแสหลัก

ตัวเร่งปฏิกิริยาที่สำคัญ ได้แก่ การที่ Donald Trump ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีที่สนับสนุนคริปโตและการปฏิรูปด้านการกำกับดูแลที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้ภายในปี 2033 นั้น ETF อาจครองส่วนแบ่งอุปทานหมุนเวียนได้สูงสุดถึง 15% สิ่งนี้สอดคล้องกับโมเดล Total Addressable Market (TAM) เนื่องจากการนำไปใช้งานโดยสถาบันนั้นทำให้ส่วนแบ่งของ Bitcoin ในสินทรัพย์ทั่วโลกขยายเพิ่มขึ้น

โมเดลต้นทุนการผลิตก็สนับสนุนการคาดการณ์ของ Bernstein ด้วย Halving ในปี 2024 จะทำให้ต้นทุนการขุดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและเกิด “ภาวะช็อกจากความขาดแคลนตามธรรมชาติ” เทรนด์ในอดีตแสดงให้เห็นว่าราคา Bitcoin มักไปทำจุดสูงสุดที่ระดับหลายเท่าของต้นทุนการผลิตส่วนเพิ่มหลัง Halving ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายที่ $200,000

สุดท้าย กฎของ Metcalfe เน้นย้ำถึงการเติบโตแบบยกกำลังของ Bitcoin ขณะที่การใช้งานเครือข่ายพุ่งสูงขึ้นผ่านการมีส่วนร่วมของ ETF และความก้าวหน้าทางโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อรวมกรอบการประเมินมูลค่าเหล่านี้ Bernstein ได้เน้นย้ำถึงรากฐานที่แข็งแกร่งของ Bitcoin เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีบทบาทในระบบนิเวศทางการเงินระดับโลกที่แข็งแกร่งขึ้น

 

Standard Chartered: ตัวเร่งปฏิกิริยาทางการเมืองและการนำสินทรัพย์ไปใช้งานในวงกว้างขึ้น

Standard Chartered คาดการณ์ Bitcoin ว่าจะพุ่งไปถึง $125,000 ภายในปลายปี 2024 และมีเป้าอยู่ที่ $200,000 ภายในสิ้นปี 2025 การวิเคราะห์ใช้โมเดลต้นทุนการผลิต โดยเน้นถึงผลกระทบของ Halving ในปี 2024 ซึ่งเพิ่มต้นทุนการขุดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการที่จะได้รางวัลบล็อกลดลงครึ่งหนึ่งเหลือ 3.125 BTC ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้พื้นฐานราคาสูงขึ้น ผลักดันให้ Bitcoin มีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ธนาคารแห่งนี้ยังชี้ให้เห็นถึงพลวัตของความขาดแคลน (สอดคล้องกับโมเดล Stock-to-Flow) เนื่องจากอุปทานที่ลดลงหลัง Halving รวมกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจนทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น

Standard Chartered ระบุว่าโมเมนตัมที่เกิดขึ้นทันทีของ Bitcoin นั้นมาจากการได้รับเลือกตั้งอีกสมัยของ Donald Trump ซึ่งกระตุ้นให้ตลาดมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นผ่านนโยบายที่สนับสนุนคริปโต ซึ่งรวมไปถึงความเป็นไปได้ในการยกเลิกกฎระเบียบที่เข้มงวด เช่น SAB 121 และกฎหมาย Stablecoin ใหม่ ซึ่งจะสร้างช่องทางสู่การใช้งานโดยสถาบันต่างๆ ในวงกว้างมากขึ้น โดยธนาคารมองว่าพัฒนาการทางการเมืองเหล่านี้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการบูรณาการสินทรัพย์ดิจิทัลกระแสหลักเข้าสู่ความชัดเจนด้านการกำกับดูแลและการกระตุ้นความเชื่อมั่นของตลาด

นอกเหนือจากความขาดแคลนแล้ว Standard Chartered ยังเน้นให้เห็นถึงอรรถประโยชน์ที่มากขึ้นของ Bitcoin ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบ Decentralized Finance (DeFi) และการ Tokenize นวัตกรรมเหล่านี้สอดคล้องกับโมเดล Total Addressable Market (TAM) เนื่องจาก Bitcoin แข่งขันกับทองคำและตราสารทางการเงินแบบดั้งเดิมมากขึ้นเพื่อชิงส่วนแบ่งในตลาดสินทรัพย์ทั่วโลก ด้วยการทำหน้าที่เป็นหลักประกันดิจิทัลและทำให้เกิดการ Tokenize สินทรัพย์นั้น จึงทำให้ Bitcoin มีฐานที่มั่นที่แข็งแกร่งขึ้นในระบบการเงินโลก

 

Bitcoin มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ: วิสัยทัศน์ระยะยาว

ผู้สนับสนุนศักยภาพในระยะยาวของ Bitcoin ซึ่งรวมไปถึง Arthur Hayes, VanEck และนักวิเคราะห์รายอื่นๆ มองว่ามูลค่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้นเป็นหมุดหมายที่สมจริงภายในทศวรรษหน้า โดยมีข้อมูลสนับสนุนจากเทรนด์เศรษฐกิจมหภาคที่เปลี่ยนแปลงไป พลวัตของความขาดแคลน และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี

Arthur Hayes อดีต CEO ของ BitMEX คาดการณ์ว่า Bitcoin จะไปถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ในช่วงที่ Donald Trump ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยได้รับแรงผลักดันจากนโยบายการเงินและการคลังที่เป็นเชิงรุก Hayes โต้แย้งว่าการที่รัฐบาลสหรัฐมุ่งเน้นที่จะลดค่าเงินดอลลาร์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ร่วมกับการอัดฉีดสินเชื่อในปริมาณมาก จะเป็นการกระตุ้นเงินเฟ้อ และส่งผลดีต่อสินทรัพย์ที่มีอุปทานตายตัว เช่น Bitcoin เขายังเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างการขยายตัวของสินเชื่อธนาคารและผลตอบแทนของราคา Bitcoin โดยชี้ให้เห็นว่าสินทรัพย์ดังกล่าวได้ตอบสนองต่อแรงกดดันเงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ของเขาที่ว่า Bitcoin จะไปถึง $250,000 ได้ภายในปี 2025 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่เป้าหมาย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อีกทั้งโมเดล Stock-to-Flow ตามที่แสดงในภาพการคาดการณ์ของ BitBo ยังระบุถึงเส้นทางสู่ระดับ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย โมเดลนี้เชื่อมโยงมูลค่าของ Bitcoin เข้ากับระดับความขาดแคลนโดยตรง และด้วยเหตุนี้จึงคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวขึ้นแบบยกกำลังหลังจากรอบ Halving โดยที่ Halving รอบปี 2024 นั้นก็ได้ทำให้อัตราส่วน Stock-to-Flow ของ Bitcoin เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าไปเป็น 120 แซงหน้าระดับความขาดแคลนของทองคำ หากรูปแบบในอดีตยังคงอยู่ราคาของ Bitcoin อาจไปถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ในปี 2025 หรือ 2030 เป็นอย่างช้าที่สุด

ที่มา: BitBo

 

การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ของ VanEck วางตำแหน่งความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นของ Bitcoin ในระบบการเงินระดับโลกไว้โดยคาดการณ์ว่าอาจเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นสินทรัพย์ทุนสำรองที่มีมูลค่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเหรียญได้ภายในปี 2050 เป้าหมายอันทะเยอทะยานนี้ขึ้นอยู่กับการที่ Bitcoin ต้องได้รับการจัดสรรเพียง 2% ในทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลก แต่ขับเคลื่อนโดยคุณลักษณะเฉพาะของเหรียญเอง ได้แก่ การไม่ต้องอาศัยความไว้วางใจ นโยบายการเงินที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ และสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ไม่มีใครทัดเทียม VanEck เน้นย้ำถึงศักยภาพของ Bitcoin ที่จะแซงหน้าทองคำในแง่ของมูลค่าตามราคาตลาดด้วยการประเมินมูลค่าที่ 61 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากมีการนำไปใช้ในการพาณิชย์ข้ามพรมแดนและการถือครองของธนาคารกลางอย่างแพร่หลาย ด้วยโซลูชัน Layer-2 ที่ทำให้ Bitcoin สามารถขยายการรองรับสำหรับสินทรัพย์ที่ผ่านการ Tokenize และธุรกรรมที่ซับซ้อนได้ VanEck จึงมองเห็นภูมิทัศน์ทางการเงินที่ Bitcoin รองรับทั้งเสถียรภาพของสถาบันและนวัตกรรมแบบกระจายศูนย์ ในมุมมองของพวกเขา การบรรจบกันของการเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจ ความชัดเจนด้านการกำกับดูแล และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้การพุ่งขึ้นของ Bitcoin ไปถึงหลัก 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือมากกว่านั้นไม่ใช่แค่เรื่องที่เป็นไปได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการบรรลุจุดแข็งที่มีอยู่ในตัวได้ในที่สุด

 

บทสรุป

การประเมินมูลค่าของ Bitcoin ที่ $99,000 นั้นไม่ได้เป็นความผิดปกติทางการคาดเดาแต่อย่างใด จากการผสมผสานความขาดแคลน การใช้งาน และปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจมหภาค ทั้ง VanEck, Bernstein และ Standard Chartered ต่างก็คาดการณ์ช่วงราคาร่วมกันที่ $125,000 - $200,000 ภายในสิ้นปี 2025 ในขณะเดียวกัน วิสัยทัศน์ในระยะยาว เช่น Arthur Hayes ที่คาดการณ์มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไม่มีใครเทียบได้ของ Bitcoin ในการเปลี่ยนโฉมตลาดโลก

ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ช่วยยืนยันตำแหน่งอันเป็นเอกลักษณ์ของ Bitcoin ในจุดตัดระหว่างนวัตกรรมและการเงิน ไม่ว่าจะดูผ่านเลนส์ของทองคำดิจิทัล ที่เก็บรักษามูลค่าแบบกระจายศูนย์ หรือการกระจายพอร์ตที่ไม่สัมพันธ์กัน การปรับตัวขึ้นของ Bitcoin แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดสินทรัพย์ทั่วโลก ในขณะที่ตัวเร่งปฏิกิริยาต่างๆ เช่น รอบ Halving, ความชัดเจนด้านการกำกับดูแล และการใช้งานโดยสถาบันต่างๆ มาบรรจบกัน เส้นทางสู่ $100,000 และมากกว่านั้นก็ดูน่าสนใจไม่น้อยและสามารถบรรลุได้

 

ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน